Saturday, August 31, 2013

EXPERIENCE : ประสบการณ์
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด
 
 
1

    ไม่กี่วันที่ผ่านมา กระดาษเอสี่ไม่กี่แผ่นพร้อมตราดุนมหาวิทยาลัยทำให้ฉันรู้สึกแปลกแปร่งบอกไม่ถูก คงเพราะเนื้อความในหนังสือรับรองที่ออกโดยฝ่ายทะเบียนนั้น เป็นหลักฐานอย่างดีที่ยืนยันว่า ‘หนูเรียนจบแล้วนะคะ’

2

     หากฉันเอ่ยรหัสนักศึกษา (ที่มีตัวเลขสองตัวแรกบ่งบอกปีการศึกษาที่ฉันเริ่มเข้ามาเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย)ออกไปให้ใครได้ยินแล้วล่ะก็ รับรองว่ามันจะทำให้ใครหลายๆ คน โดยเฉพาะน้องๆ นักศึกษาปีหนึ่งต้องร้องโอ้โหว่า ‘นักศึกษารหัสนี้ ยังมีเรียนอยู่อีกหรอเนี่ย!!!’
     ฉันเคยเจอประสบการณ์นี้มากับตัวบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสองสามเดือนก่อน คราที่รุ่นน้องคนหนึ่ง วานให้ฉันไปช่วยติวหนังสือก่อนสอบย่อยให้ แล้วฉันเผลอบอกรหัสนักศึกษาออกไป น้องคนนั้นถึงกับขำกลิ้ง พยายามบอกฉันด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า ‘เอ่อ...ตอนพี่อยู่ปีหนึ่ง ผมเพิ่งเข้าม.หนึ่งเองครับ เอิ๊กๆๆ’
     ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าทำไมน้องถึงต้องขำขนาดนั้น เพราะแม้แต่ฉันเอง ก็ไม่เคยคิดจินตนาการมาก่อนว่า จะใช้เวลาการเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนานขนาดนี้กว่าจะเรียนจบ (สักที)
     จะอย่างไรก็ตาม ฉันออกจะภูมิใจเสียด้วยซ้ำเมื่อได้บอกกับใครต่อใครว่า ‘ฉันยังเรียนไม่จบ’ แถมไม่ใคร่สาธยายต่อด้วย ว่าทำไมถึงยังเรียนไม่ยอมจบ ... ฉันเชื่อว่ามนุษย์แทบทุกคนมีความใฝ่รู้อยู่ในตัว ดังนั้น เหตุผลว่าทำไมฉันยังเรียนไม่ยอมจบ คงเป็นเรื่องที่พวกเขาสรรหาคำตอบด้วยตนเองได้ไม่ยากนักหรอก
     สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ ฉันโคตรเห็นด้วยกับข้อความสั้นๆ ในหนังสือเล่มหนึ่งของ ‘วินทร์ เลียววารินทร์’ ที่ว่า

“คุณค่าของการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
อาจอยู่ที่การใช้ชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัย”
 
 
3

     สำหรับท่านผู้อ่านที่ติดตามบทความในคอลัมน์คิดระหว่างบรรทัดอยู่เสมอ คงพอทราบกันบ้างว่า ฉันเป็นนักศึกษาที่ชีพจรลงเท้าและชอบโดดเรียน ไม่ค่อยชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆ เวลาโดดเรียน ไม่โดดหรอกแค่คาบสองคาบ ฉันโดดเรียนทีเป็นเดือนๆ ไม่ก็เป็นปี ถ้าถามว่าโดดเรียนไปไหน คงต้องเผยนิสัยน่ารักๆ ของฉันได้อีกอย่างหนึ่ง คือ การชอบแกว่งเท้าหาเรื่องและหาประสบการณ์ ฉันชอบสมัครทุนเพื่อไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนยังประเทศต่างๆ อันนี้ต้องขอบคุณฐานะทางบ้านที่มีแค่พอจะกิน (ไม่ได้มีอันจะกิน) ที่ทำให้ชีวิตนักศึกษาของฉันเลยเถิดมาไกลได้ถึงขนาดนี้ แม่ประกาศก้องตั้งแต่สมัยฉันเรียนมัธยมปลายว่า “เรื่องเรียนต่อต่างประเทศเหมือนชาวบ้านเขาน่ะ ไม่ต้องไปคิดหรอก ได้เข้ามหา’ลัยภูธร แค่นี้ ก็หรูมากแล้ว” นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ทิฐิมานะฉันบังเกิด ใช่แล้วล่ะ...ฉันอยากไปสูดอากาศเมืองนอกได้โดยไม่ต้องเปลืองเงินพ่อแม่
     ฉันเริ่มก่อกิเลสด้วยการไปทำพาสปอร์ตมาไว้เป็นเบื้องต้นก่อน เอาไว้เผื่อมีโครงการหรือทุนดีๆ ฉันจะได้สมัครง่ายๆ ไม่ต้องเอาเหตุผลเรื่องยังไม่มีพาสปอร์ตมาอ้าง ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ฉันก็บินลัดฟ้าไปประเทศจีนในฐานะหนึ่งในนักศึกษาโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แม้จะเป็นเวลาแค่สองสัปดาห์ แต่ก็เป็นการเปิดประสบการณ์ต่างประเทศสุดประทับใจของฉันเลยทีเดียว ถัดมาอีกสองสามเดือน ฉันก็เดินทางไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน ณ รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย เป็นเวลาสองภาคเรียน กลับมาเป็นนักศึกษาปีสี่ได้อีกแค่ปีเดียว ก่อนออกไปฝึกสอน คราวนี้ได้โอกาสดี บินข้ามทวีปไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่อเมริกาถึงสองเดือน
    หลายๆคนมักชมถึงคุณแม่ฉันว่า “คุณแม่เก่งจัง กล้าดีจัง ที่อนุญาตให้ลูกสาวไปอยู่ไกลๆ และคราวละนานๆ” เปล่าหรอก บางส่วนเป็นแผนการณ์ของฉันเอง ฉันไม่เคยบอกที่บ้านเลย เวลาจะสมัครโครงการอะไร เอาไว้ค่อยบอกทีเดียวตอนผลประกาศออกมาแล้วว่าฉันได้รับคัดเลือก ทีนี้มันก็จะมีเวลาแค่ไม่กี่วันให้ตัดสินใจยืนยันสิทธิ์ ถึงตอนนั้น ก็เหมือนกับการมัดมือชกดีๆ นี่เอง ไม่ต้องขออนุญาตแล้วล่ะ แค่แจ้งเพื่อทราบ พร้อมกับบอกคุณแม่อ้อนๆว่า “นะ นะ น๊า... อุตส่าห์สอบได้ ได้ไปต่างประเทศฟรีๆ ดีจะตายชัก ต้องคอนเฟิร์มภายในวันนี้น๊า... ไม่งั้นเสียโอกาส เสียดายแย่” แค่นั้นแหละ คุณแม่ก็เซย์เยสแล้ว
     บางครั้ง คำบางคำของบางคน มันก็อาจบั่นทอนโอกาสของเราออกไปก่อนที่เราจะได้เดินทางไปคว้าโอกาสนั้นด้วยซ้ำ ฉันเห็นหลายๆคน มีความสามารถมากพอ แต่ก็ไม่กล้าสมัครเพราะคิดว่า “ถึงได้ไป ที่บ้านก็ไม่ให้ไปหรอก” นั่นเป็นแค่การบั่นทอนจากคนอื่น มันไม่เลวร้ายมากเท่ากับการที่เราบั่นทอนตัวเองด้วยเหตุผลพื้นๆ ที่ว่า “ไม่สมัครดีกว่า ฉันไม่เก่งพอ คงไม่ได้รับเลือกหรอก” ฉันอยากประกาศไว้ตรงนี้เลยว่า “คนที่มีสิทธิ์ตัดสินว่าคุณได้หรือไม่ได้ คือคณะกรรมการ ไม่ใช่ตัวคุณเอง ดังนั้น เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว ก็สมัครไปเลย อย่ารอช้า ได้หรือไม่ได้มันเป็นอีกเรื่องนึง” 
    ชีวิตในต่างประเทศไม่ได้สวยงามเหมือนในฝัน ฉันต้องปรับตัวเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในหลายๆ ด้าน ทว่าอุปสรรคมากมายที่ต้องฟันฝ่ากลับก่อร่างสร้างประสบการณ์มากมาย ฉันดีใจที่ไม่ได้แค่เติบโตขึ้นด้วยกาลเวลา แต่เลขอายุที่เพิ่มขึ้นได้นำพาวุฒิภาวะมาพร้อมๆกัน แม้มันจะไม่มากนัก แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญสำหรับเราเสมอ จากที่เมื่อก่อนเคยเป็นเด็กค่อนข้างเอาแต่ใจตามประสาลูกคนเล็ก พอต้องใช้ชีวิตอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครคอยตามใจเรา และต้องดิ้นรนฝ่าฟันทุกอย่างด้วยตนเอง ความยากลำบากมันทำให้เรารู้ซึ้งว่า ไม่มีใครรักเราและหวังดีกับเราเท่ากับคนที่บ้าน  และท้ายที่สุดแล้ว ระยะเวลาสองสัปดาห์ในจีน สองภาคเรียนในมาเลเซีย และสองเดือนที่อเมริกา ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า

“เราเดินทางออกไป ไม่ใช่แค่เพื่อเรียนรู้โลกกว้าง แต่เพื่อที่จะรู้จักตัวเองด้วย”
 
EXPERIENCE : ประสบการณ์
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด
 
Don’t forget to say ‘CONGRATULATIONS’ to me.
I’ve already graduated after almost seven years of being a university student.
By the way I really proud of my two weeks in China,
my two semesters in Malaysia and my two months in the States before my graduation.”
“อย่าลืมแสดงความยินดีกะหนูนะคะ
ในที่สุดหนูก็เรียนจบแล้วจร้า... หลังจากเป็นนักศึกษามหา’ลัยมาตั้งเกือบเจ็ดปีแน่ะ
แต่จะยังไงก็เห๊อะ หนูโคตรภูมิใจกับสองสัปดาห์ในจีน
สองเทอมในมาเลเซีย แล้วก็สองเดือนในอเมริกาชะมัดเลย”
  • Congratulations เป็นคำที่เอาไว้กล่าวแสดงความยินดีค่ะ ไม่จำเป็นต้องเนื่องในโอกาสจบการศึกษาก็ได้ค่ะ ขอแค่อย่าลืมเติม –s ต่อท้ายเป็นพอ 
  • Graduate เป็นได้ทั้งคำนามและกริยา ถ้าเป็นคำนาม หมายถึง บัณฑิต หรือผู้สำเร็จการศึกษา ส่วนถ้าเป็นกริยา จะหมายถึง สำเร็จการศึกษา ส่วน graduation เป็นคำนาม หมายถึง การสำเร็จการศึกษา  
  • By the way เป็นสำนวนที่มีความหมายเก๋ๆ ว่า อนึ่ง หรือ อีกอย่างหนึ่ง หรือที่ฝรั่งเค้าชอบพิมพ์กันย่อๆในแชทว่า BTW นั่นเองค่ะ 
  • The States เป็นชื่อเล่นของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ USA นั้นเองค่ะ ห้ามลืมเติม –s ต่อท้ายเหมือนกันค่ะ เพราะประเทศนี้มีรัฐหลายๆรัฐ ที่รวมกันขึ้นมาเป็นประเทศค่ะ 
  • Experience เป็นได้ทั้งคำนามและกริยาเช่นเดียวกันค่ะ ถ้าเป็นคำนาม หมายถึง ประสบการณ์, ความชำนาญ, ความเชี่ยวชาญ, ความรู้จากประสบการณ์ ส่วนถ้าเป็นกริยา หมายถึง มีประสบการณ์, ได้รับประสบการณ์, ประสบกับ, พบกับ นั่นเองค่ะ เติม -d ต่อท้ายไปอีกหนึ่งตัว จะกลายเป็นคำคุณศัพท์ นั่นก็คือ experienced หมายถึง มีประสบการณ์, จัดเจน, ฉลาด, เชี่ยวชาญ หรือชำนาญ ค่ะ
 
 STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน

 
 

7 comments:

poodarab said...

เป็นบทความที่ดีมากเลยครับ...
อ่านเเล้วสนุก ใช้สำนวนการเขียนได้ดีมากครับ

Noona Ajjana said...

ขอบคุณมากๆค่า สำหรับคำคอมเมนต์ เด๋วพี่จะพัฒนางานเขียนต่อๆไปนะคะ

Al-Qamar Eureka said...

ชอบครับ อ่านบล็อกซูนาทีไรอมยิ้มทุกที
รู้แผนล่ะ ว่าเวลาจะสมัครทุนอะไรอย่าเพิ่งบอกที่บ้าน อิอิ

ขอบคุณสำหรับการบอกเล่าประสบการณ์ดีดี
ขอชื่นชม สำนวนการเขียน อ่านแล้วน่าดึงดูด

Al-Qamar Eureka said...

แล้วมาต่อเรื่องใหม่ไวๆน่ะครับ รออ่านอยู่

Ai Kanchanok said...

เพิ่งเจอบล็อกของพี่หนูนาค่า นี่อาย UGRAD นะคะ
เห็นด้วยมากเลยค่ะ ประสบการณ์สอนอะไรเรามากมายกว่าที่คิดจริงๆ เป็นนักศึกษาทั้งทีต้องใช้สิทธิความเป็นนักศึกษาให้คุ้มเนอะ

Noona Ajjana said...

Al-Qamar ... โพสต์เรื่องใหม่ เด๋วจะแจ้งเรื่อยๆจ๊ะ ชอบแลกเปลี่ยนเรียนรู้อยู่แล้ว อิอิ
Ai ... จำอายได้แน่นอนจ๊ะ น้องสาวสุดสวย ผมตรง หน้ามน อิอิ ไว้ตามอ่านไปเรื่อยๆน๊าาา ขอบคุณกำลังใจจากทุกคนค่ะ

Unknown said...

เยี่ยมมากเลยพี่สาว ชื่นชมค่ะ ^^เริศ