Saturday, August 31, 2013

YOUNG : เยาว์
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด
 
1

     ‘เวลาผ่านไปเร็ว เมื่อเราไม่ได้คิดถึงการมีอยู่ของมัน’ จำไม่ได้ว่าเคยอ่านประโยคนี้ที่ไหน เอ่อ... จำไม่ได้ด้วยว่า จำมาถูกไหม แหะๆ บางทีมีอารมณ์อยากขึ้นต้นคอลัมน์เก๋ๆ ฉันก็ล้มไม่เป็นท่า ความจำเริ่มไม่ดี สมองเริ่มเลอะเลือน อาจเป็นสัญญาณของความเยาว์วัยที่เริ่มเลือนหาย
     โอม...จงกลับมาเถิด ฉันว่าตัวเองชักเพ้อหนักมากเกินไปแล้ว
     คงเพราะปรากฏการณ์เมื่อสองสามเดือนก่อนที่ทำให้ฉันเป็นได้ถึงขนาดนี้  
    ฉันกับเพื่อนไปนั่งทานอาหารและขนมนมเนยตามร้านรวงริมถนนตามปกติ เมื่อถึงเวลาต้องแยกย้าย ฉันเรียกพนักงานเสิร์ฟมาคิดเงิน “พี่คะ...เก็บตังค์ด้วยค่ะ” สาวน้อยนางนั้นหันขวับมา ทำแววตาเชือดเฉือนประหนึ่งฉันไปเหยียบหัวแม่เท้าเธอเข้า

    
    
      เอ่อ...ฉันคงพูดอะไรสักอย่างผิดไป ฉันจะจำไว้ คราวหน้า ฉันจะพูดใหม่ว่า “น้องคะ...เก็บตังค์ด้วยค่ะ”
    เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เมื่อเราไม่ได้คิดถึงการมีอยู่ของมัน เมื่อก่อน ฉันยังเป็นเด็กมัธยมกะโปโล เป็นเฟรชชี่ในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นน้องเล็กในกลุ่มเพื่อนผอง หันกลับมามองตัวเอง มาส่องกระจกอีกที ฉันมีแว่นตากรอบกระสวมอยู่ บดบังแววตาเริ่มกร้านโลกที่เคยไร้เดียงสาคู่นั้น  แถมแอบมีรอยย่นเล็กๆ ตรงหางตาด้วย

2
     โจชามี กิบส์:         แจ๊ค ขอถามหน่อยเถอะ ท่านได้ถ้วยเงิน น้ำศักดิ์สิทธิ์ น้ำตานางเงือก 
                                  ท่านจะมีชีวิต อมตะก็ได้...? 
     แจ็ค สแปร์โรว์:     น้ำพุจะทดสอบเรา...กิบส์ ข้าว่าถ้าเราไม่รู้เวลาตายจะสนุกกว่า
                                  ทุกนาทีในชีวิต เราอยู่กับปริศนาซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด 
                                  ใครจะพูดล่ะว่า ข้าไม่มีชีวิตอมตะ
                                  ข้าค้นพบน้ำพุแห่งความเยาว์วัย 
                                  ข้าไม่เรื่องมากหรอกกิบส์ สำหรับข้า มันคือชีวิตโจรสลัด เข้าใจ๊? 

     ไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียน เป็นภาพยนตร์ชุดแนวผจญภัย ผู้ใหญ่บางคนอาจคิดว่ามันเป็นหนังหลอกเด็ก ตอนที่ออกฉายล่าสุดเป็นตอนที่สี่ มีชื่อตอนว่า ‘ผจญภัยล่าสายน้ำอมฤตสุดขอบโลก’ อันเป็นเรื่องราวของการตามหาน้ำพุแห่งวัยเยาว์ในตำนาน มีส่วนผสมของมนต์ดำวูดู ซอมบี้ ศาสตราจารย์แขนเดียว นางเงือก และบรรดาผู้คนในยุคโบราณที่เคยมีชีวิตอยู่จริง เช่น Juan Ponce de Leon นักสำรวจชาวสเปน และ Blackbeard โจรสลัดเคราดำที่น่าสะพรึงกลัว
     ใครนึกถึงหนังเรื่องนี้ไม่ออกเพราะชื่อภาษาอังกฤษ ขอให้นึกถึงกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ ตัวเอกของเรื่องผู้กลับกลอก ท่าทางเพี้ยนๆค่อยไปทางกระแดะนิดๆ ดูเหมือนเอาสาระไม่ได้ หลบหลีกและเอาตัวรอดได้เสมอ เก่งด้วยวาจามากกว่าการท้าชนด้วยการต่อสู้ แถมยังมีสมบัติส่วนตัวแสนพิศดารอย่างเข็มทิศที่จะชี้ไปในทิศทางที่เขาต้องการเดินทางไปเสมอ
     ความอมตะไม่แก่ไม่ตายและมีวัยเยาว์ไปชั่วนานกัลปาวสาน เป็นหนึ่งในความปรารถนาที่คงอยู่คู่โลกเรามาพร้อมกับการมีอยู่ของมนุษยชาติ
     นวัตกรรมเสริมความงามอย่างโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ การทำศัลยกรรมพลาสติก หรือแม้กระทั่งเครื่องประทินผิวปกปิดริ้วรอยแห่งวัย ต่างถูกผลิตและคิดค้นมาเพื่อเติมเต็มความปรารถนาแห่งวัยเยาว์และความเต่งตึงงดงามทางรูปกายของมนุษย์
     เซลล์ต้นกำเนิด หรือ สเต็มเซลล์ หนึ่งในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่นำไปสู่ความหวังในการบรรเทาอาการเจ็บป่วยและรักษาโรคร้ายให้มลายหายไปจากสิ่งมีชีวิต เสมือนกดปุ่มรีเซ็ตเครื่องคอมพิวเตอร์ แม้นวัตกรรมดังกล่าวยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการให้นำมาใช้ในวงการการแพทย์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันคือหนึ่งในหนทางแห่งความหวัง
     ประติมากรรม ‘เทวตำนานการกวนเศียรสมุทร’ ที่เราๆท่านๆอาจเคยเห็นเมื่อเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นหนึ่งในตัวอย่างแห่งเรื่องเล่าของความปรารถนาความเยาว์วัย ตำนานการกวนน้ำอมฤตในหมู่เทวดาและอสูรที่กินเวลายาวนานเป็นพันๆปี เพื่อได้ดื่มกินน้ำอมฤตและทำให้กายาเป็นอมตะ
เอ็ดเวิร์ดฝังเขี้ยวแวมไพร์ในร่างของเบลล่า สาวคนรัก เพื่อให้เธอฟื้นคืนชีพใหม่และกลายร่างจากมนุษย์เป็นแวมไพร์ จะได้ครองคู่กับเขาในฐานะคนรักตราบนานแสนนาน จากนวนิยายและภาพยนตร์ภาคต่อชื่อดังซึ่งทำรายได้ถล่มทลายอย่าง แวมไพร์ ทไวไลท์
     ย้อนกลับไปยังบทสนทนาระหว่างโจชามี กิบส์ และกับตันแจ็ค สแปร์โรว์ที่ปฏิเสธการมีชีวิตเป็นอมตะ ด้วยเหตุผลว่า ชีวิตจะมีอะไรสนุก ถ้าเรารู้ว่า จะตายวันไหน…
3

 “ข้าว่าถ้าเราไม่รู้เวลาตายจะสนุกกว่า ทุกนาทีในชีวิต เราอยู่กับปริศนาซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด”
     ลองพูดประโยคข้างต้นด้วยท่วงทำนองของมนุษย์ปุถุชน ยิ้มเฝื่อนที่มุมปาก แล้วกระพริบตาข้างหนึ่งเบาๆ ฉันว่ามันออกจะเท่ดี
     คิดไหม ว่าถ้าเราไม่แก่ ไม่ตาย เราก็ไม่มีคุณสมบัติของความเป็นคน
     โรคภัยที่ไม่อาจรักษาได้ในมนุษย์ ไม่ใช่เอดส์ ไม่ใช่มะเร็ง โรคพวกนี้ ฉันว่ามียารักษา เพียงแต่ว่ายังไม่ค้นพบ
     โรคแก่ และโรคตายต่างหากที่ไม่เคยห่างหายไปจากมนุษย์ไม่ว่ายุคไหนๆ
     โรคแก่ และโรคตาย สอนให้เราใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีคุณค่า เพื่อตัวเอง และเพื่อคนที่เรารัก
     อย่าลืมบอกความลับในความรักให้คนรักของท่านได้รับรู้ เพราะเราเป็นมนุษย์ที่ไม่อาจรู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้สำหรับเราเพื่อที่จะบอกรักเขาไหม… ที่สำคัญ อย่าลืมทำให้ใครคนนั้นได้รับรู้ด้วยว่า คุณรักเขามากเพียงใด
YOUNG : เยาว์
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด
  • Young – เป็นคำคุณศัพท์ มีความหมายว่า เยาว์วัย อ่อนวัย หรือถ้าเป็นคำนาม จะหมายถึง คนที่มีอายุน้อย หรือลูกอ่อนของสัตว์ก็ได้ค่ะ ส่วน Youth – เป็นคำนาม หมายถึง วัยหนุ่มสาว หรือความเป็นหนุ่มสาวค่ะ
  • The Fountain of Youth คือ น้ำพุแห่งความเยาว์วัย ตามตำนานในภาพยนตร์ชุดไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียน ภาค 4 
  • Fountain แปลว่า น้ำพุ แต่ถ้า fountain pen จะแปลว่า ปากกาหมึกซึมจ๊ะ   
  • “Death is a distant rumor to the young.” เป็นคำพูดของ Andy Roony นักเขียนบทวิทยุและโทรทัศน์ชื่อดังชาวอเมริกัน มีความหมายเก๋าๆและเป็นสัจธรรมว่า ความตายคือข่าวลือหึ่งๆถึงคนเยาว์วัยนั่นเองค่ะ
  • Juan Ponce de Leon คือ นักสำรวจชาวสเปน ผู้ที่เคยออกตามหาน้ำพุแห่งความเยาว์วัยมาแล้วจริงๆ ในอดีต โดยเมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปในดินแดนแห่งใหม่คืออเมริกา ระหว่างทางเขาได้ยินชาวพื้นเมืองกล่าวถึงน้ำพุนี้ ด้วยความสนใจ เขาจึงออกตามหา โดยสถานที่แรกที่ไปคือบริเวณที่ตั้งของรัฐฟอริด้าในปัจจุบัน แต่ชั่วชีวิตของ Juan Ponce de Leon เขาก็ไม่เคยได้เห็นน้ำพุแห่งความเยาว์วัยนี้ด้วยตาตนเองเลย แต่เขาก็เชื่อว่ามันมีอยู่จริง จึงได้นำเรื่องมาเล่าให้เพื่อนๆนักเดินเรือด้วยกันฟัง จนเป็นที่แพร่หลายแก่หมู่นักเดินเรือชาวสเปนในยุคสำรวจโลกในเวลาต่อมา
  • เอ็ดเวิร์ด ทีช หรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า โจรสลัดเคราดำ (Blackbeard) สุดยอดโจรสลัดจอมโหดที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โจรสลัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หนวดเคราอันหนาครึ้มเต็มใบหน้า เป็นกัปตันของเรือควีน แอนส์ รีเวนจ์  (Queen Anne's Revenge) ที่ออกปล้นบริเวณคาบสมุทรอินเดียตะวันตก คาบสมุทรแคริบเบียน และชายฝั่งตะวันออกของเหล่าเมืองขึ้นของอเมริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 18
  • ขอขอบคุณเรื่องราวของ Juan Ponce de Leon และ Blackbeard จากhttp://www.oknation.net/blog/print.php?id=717366 ค่ะ 
 
STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน


No comments: