Saturday, August 31, 2013

LOVE STORY : ตำนานรัก
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด
  

1

     วันว่างวันหนึ่ง จู่ๆ ฉันก็นึกถึงเพลงหนึ่งที่ชอบฟังเมื่อปีก่อน บทเพลงธรรมดาๆ ที่มาพร้อมสไตล์การร้องเสียงกระท่อนกระแท่นเหมือนเสียงพูด ขับร้องโดยนักร้องหนุ่มมาดเซอร์ที่สาวๆกรี๊ด
     ‘ชิซูกะ’ คือเพลงนั้น เจ้าของเสียงร้องก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘เป้-อารักษ์’
     “สาเหตุที่ผมตั้งชื่อเพลงว่า ‘ชิซูกะ’ ก็เพราะว่าความรักของโนบิตะที่มีต่อชิซูกะสามารถสื่อสารให้กับคนหมู่มาก เข้าใจได้ เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าโนบิตะพยายามทำทุกอย่างโดยมีตัวแปรและแรงขับเคลื่อน ซึ่งก็คือความรักที่เขามีต่อชิซูกะและเธอเป็นรักเดียวของเขาตลอดกาล”

     
     เป้เปรียบเปรยถึงความรักที่ไม่ค่อยจริงใจ ฉาบฉวย มาเร็วไปเร็วของคนหนุ่มสาวสมัยนี้ผ่านเนื้อหาของเพลงได้อย่างน่ารัก และน่าคิด ผ่านบรรดาคู่รักในการ์ตูนอย่าง โนบิตะ-ชิซูกะ ในนวนิยายอย่าง โรมิโอ-จูเลียต พระราม-นางสีดา โกโบริ-อังศุมาลิน รวมถึงความรักของสัตว์ อย่างช่วงช่วง-หลินฮุ่ย กระทั่งความรักเดียวใจเดียวของนกเงือก ไม่เว้นแม้แต่สิ่งของที่มักจะอยู่กันเป็นคู่อย่าง แปรงสีฟัน-ยาสีฟัน
    ไม่แน่ใจว่า สาเหตุที่ทำให้อยู่เพลงนี้ผุดขึ้นมาในมโนความคิด เป็นเพราะกระแสประชาสัมพันธ์ของภาพยนตร์รักในตำนานเรื่องคู่กรรมหรือเปล่า
     เพราะโกโบริ-อังศุมาลิน คือหนึ่งคู่รักในตำนานที่ถูกกล่าวถึงในบทเพลง ‘ชิซูกะ’

2

     โกโบริ-อังศุมาลิน เป็นตัวละครเอกในนวนิยายแนวโศกนาฎกรรมและวีรคติ เรื่อง ‘คู่กรรม’ ประพันธ์โดยทมยันตี และเป็นบทนวนิยายที่ถูกนำไปทำเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แม้กระทั่งในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาก็ถึงกับมีคู่กรรมในเวอร์ชันละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ออกฉายพร้อมกัน ทำเอาคนดูเลือกไม่ถูกว่าจะดูเวอร์ชั่นไหน
    แม้จะยังไม่เคยอ่านตัวเล่มฉบับนวนิยาย ชมละคร หรือภาพยนตร์เรื่องคู่กรรมอย่างเต็มรูปแบบเลยสักครั้ง เพียงได้อ่านเรื่องย่อ ก็อดคิดไม่ได้ว่า นวนิยายเรื่องนี้ช่างจำลองแง่มุมของความรักในชีวิตจริงได้อย่างงดงาม น่าหลงไหล โดยมีความเศร้าเป็นสเน่ห์สำคัญ

“คุณมีเหตุผลของคุณ ผมมีหัวใจของผมก็พอแล้ว”

     ประโยคหมัดเด็ด กึ่งรักกึ่งตรมของนายทหารญี่ปุ่นหนุ่มที่เอ่ยกับหญิงสาวอันเป็นที่รัก แม้ลึกๆแล้ว อังศุมาลินเองก็รักโกโบริไม่ต่างกัน แต่ด้วยอคติที่มีต่อทหารญี่ปุ่น ที่มากล้ำกรายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ อังศุมาลินจึงปฏิเสธหัวใจรักของโกโบริไปอย่างไม่ใยดี

3

  • ในช่วงชีวิตหนึ่ง
  • บางที เราอาจต้องปฏิเสธรักของใครบางคน ไม่ใช่ไม่รัก แต่เพราะสมองยังไม่ยินยอมให้หัวใจแสดงความรัก
  • บางที เราอาจต้องแต่งงานกับคนที่เราไม่ได้เต็มใจที่จะรัก เพราะเหตุผลทางการเมือง ทางธุรกิจ หรือทางครอบครัว
  • บางที การบอกรักครั้งแรกและครั้งสุดท้าย อาจเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่คนรักจากเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ 
  • บางที ในวันที่คนรักจากเราไป ความรักอาจยังไม่จากเราไปไหน เพราะมันอยู่ที่นี่...ในหัวใจเราเอง
  • จะเป็นไปได้ไหม... ที่บางเปอร์เซ็นต์ของตำนานรักเรื่องหนึ่ง จะซุกตัวอยู่เงียบๆ ในเรื่องราวความรักของคุณ

LOVE STORY : ตำนานรัก
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด 

Love
  • They were slowly falling in love. พวกเขาตกหลุมรักกันอย่างช้าๆ เป็นไปได้มากที่คู่รักคู่นี้จะเป็นคนสมัยก่อน สังเกตได้จากความรักแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบร้อน ไม่ใช่แค่ พบ-จูบ-จับ-กินตับ แล้วก็จบ อย่างหนุ่มสาวสมัยนี้ และที่สำคัญ มีการใช้ past tense อย่าง were เพื่อโชว์ความเป็นอดีต เอ...หรือ ‘รักต้องการเวลา’ จะตกยุคไปแล้วจริงๆ
  • It was a love at first sight. มันเป็นรักแรกพบเลยเชียวนะ คือว่ารักไม่ต้องการเวลาน่ะครับ เข้าใจบ้างป่ะ
  • Are you in love? นี่เธอตกอยู่ในห้วงแห่งรักอยู่เรอะ เดินน่ะดูตาม้าตาเรือซะบ้าง เหยียบขี้หมามายังไม่รู้ตัวอีก ยิ้มเหม่ออยู่นั่น
Story
  • จริงๆแล้ว คำว่า Story ไม่ได้แปลตรงตัวว่า ‘ตำนาน’ หรอกนะคะ แปลง่ายๆ เพียง ‘เรื่องราว’ ใช้ได้แล้วค่ะ ถ้าจะแปลว่าตำนาน ก็ควรจะใช้คำว่า legend หรือ myth มากกว่า แต่สาเหตุที่เลือกใช้คำว่า story เพราะดูเข้ากับเรื่องราวความรักหลายเวอร์ชั่นที่ยกมาในบทความมากกว่านั่นเองค่ะ
  • นอกจาก story จะแปลว่าเรื่องราวแล้ว ยังแปลว่า ‘ชั้น’ ของบ้าน อาคาร หรือตึกได้อีกด้วยค่ะ อย่างเช่นว่า She dressed up like a ten-story building. แม่สาวคนนั้นแต่งตัวเวอร์อย่างกับตึกสิบชั้น ใครไม่สะดุดตา ขอจงไปพบจักษุแพทย์เหอะ
  • It’s a long story. เอาไว้ใช้เวลาไม่อยากเล่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้ใครฟัง เพราะมันสะกิดแผลใจชวนให้เจ็บปวดซะเหลือเกิน
  • ใครก็ตามที่ทำภารกิจแบบกู้โลก เราก็สามารถกล่าวถึงเขาได้ว่า The man was a living legend. ประมาณว่าตำนานมีชีวิตนั่นเองค่ะ เผื่อใครเอาไว้ชมแฟนหนุ่มที่ชกไอ้คนโรคจิตซะจนหน้าหงาย โทษฐานคิดสกปรกแอบแต๊ะอั๋งคุณ โอ๊ย! คุณช่างเป็นฮีโร่อะไรเยี่ยงนี้ อย่าเขินค่ะ ถ้าจะชมเค้าไปว่า Oh dear! You’re my super hero. I love you, my living legend. เพราะเชื่อว่า เค้าจะเกาหัวแกรกๆ แล้วก็เขินคุณแทน

STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน

YOUNG : เยาว์
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด
 
1

     ‘เวลาผ่านไปเร็ว เมื่อเราไม่ได้คิดถึงการมีอยู่ของมัน’ จำไม่ได้ว่าเคยอ่านประโยคนี้ที่ไหน เอ่อ... จำไม่ได้ด้วยว่า จำมาถูกไหม แหะๆ บางทีมีอารมณ์อยากขึ้นต้นคอลัมน์เก๋ๆ ฉันก็ล้มไม่เป็นท่า ความจำเริ่มไม่ดี สมองเริ่มเลอะเลือน อาจเป็นสัญญาณของความเยาว์วัยที่เริ่มเลือนหาย
     โอม...จงกลับมาเถิด ฉันว่าตัวเองชักเพ้อหนักมากเกินไปแล้ว
     คงเพราะปรากฏการณ์เมื่อสองสามเดือนก่อนที่ทำให้ฉันเป็นได้ถึงขนาดนี้  
    ฉันกับเพื่อนไปนั่งทานอาหารและขนมนมเนยตามร้านรวงริมถนนตามปกติ เมื่อถึงเวลาต้องแยกย้าย ฉันเรียกพนักงานเสิร์ฟมาคิดเงิน “พี่คะ...เก็บตังค์ด้วยค่ะ” สาวน้อยนางนั้นหันขวับมา ทำแววตาเชือดเฉือนประหนึ่งฉันไปเหยียบหัวแม่เท้าเธอเข้า

    
    
      เอ่อ...ฉันคงพูดอะไรสักอย่างผิดไป ฉันจะจำไว้ คราวหน้า ฉันจะพูดใหม่ว่า “น้องคะ...เก็บตังค์ด้วยค่ะ”
    เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เมื่อเราไม่ได้คิดถึงการมีอยู่ของมัน เมื่อก่อน ฉันยังเป็นเด็กมัธยมกะโปโล เป็นเฟรชชี่ในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นน้องเล็กในกลุ่มเพื่อนผอง หันกลับมามองตัวเอง มาส่องกระจกอีกที ฉันมีแว่นตากรอบกระสวมอยู่ บดบังแววตาเริ่มกร้านโลกที่เคยไร้เดียงสาคู่นั้น  แถมแอบมีรอยย่นเล็กๆ ตรงหางตาด้วย

2
     โจชามี กิบส์:         แจ๊ค ขอถามหน่อยเถอะ ท่านได้ถ้วยเงิน น้ำศักดิ์สิทธิ์ น้ำตานางเงือก 
                                  ท่านจะมีชีวิต อมตะก็ได้...? 
     แจ็ค สแปร์โรว์:     น้ำพุจะทดสอบเรา...กิบส์ ข้าว่าถ้าเราไม่รู้เวลาตายจะสนุกกว่า
                                  ทุกนาทีในชีวิต เราอยู่กับปริศนาซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด 
                                  ใครจะพูดล่ะว่า ข้าไม่มีชีวิตอมตะ
                                  ข้าค้นพบน้ำพุแห่งความเยาว์วัย 
                                  ข้าไม่เรื่องมากหรอกกิบส์ สำหรับข้า มันคือชีวิตโจรสลัด เข้าใจ๊? 

     ไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียน เป็นภาพยนตร์ชุดแนวผจญภัย ผู้ใหญ่บางคนอาจคิดว่ามันเป็นหนังหลอกเด็ก ตอนที่ออกฉายล่าสุดเป็นตอนที่สี่ มีชื่อตอนว่า ‘ผจญภัยล่าสายน้ำอมฤตสุดขอบโลก’ อันเป็นเรื่องราวของการตามหาน้ำพุแห่งวัยเยาว์ในตำนาน มีส่วนผสมของมนต์ดำวูดู ซอมบี้ ศาสตราจารย์แขนเดียว นางเงือก และบรรดาผู้คนในยุคโบราณที่เคยมีชีวิตอยู่จริง เช่น Juan Ponce de Leon นักสำรวจชาวสเปน และ Blackbeard โจรสลัดเคราดำที่น่าสะพรึงกลัว
     ใครนึกถึงหนังเรื่องนี้ไม่ออกเพราะชื่อภาษาอังกฤษ ขอให้นึกถึงกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ ตัวเอกของเรื่องผู้กลับกลอก ท่าทางเพี้ยนๆค่อยไปทางกระแดะนิดๆ ดูเหมือนเอาสาระไม่ได้ หลบหลีกและเอาตัวรอดได้เสมอ เก่งด้วยวาจามากกว่าการท้าชนด้วยการต่อสู้ แถมยังมีสมบัติส่วนตัวแสนพิศดารอย่างเข็มทิศที่จะชี้ไปในทิศทางที่เขาต้องการเดินทางไปเสมอ
     ความอมตะไม่แก่ไม่ตายและมีวัยเยาว์ไปชั่วนานกัลปาวสาน เป็นหนึ่งในความปรารถนาที่คงอยู่คู่โลกเรามาพร้อมกับการมีอยู่ของมนุษยชาติ
     นวัตกรรมเสริมความงามอย่างโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ การทำศัลยกรรมพลาสติก หรือแม้กระทั่งเครื่องประทินผิวปกปิดริ้วรอยแห่งวัย ต่างถูกผลิตและคิดค้นมาเพื่อเติมเต็มความปรารถนาแห่งวัยเยาว์และความเต่งตึงงดงามทางรูปกายของมนุษย์
     เซลล์ต้นกำเนิด หรือ สเต็มเซลล์ หนึ่งในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่นำไปสู่ความหวังในการบรรเทาอาการเจ็บป่วยและรักษาโรคร้ายให้มลายหายไปจากสิ่งมีชีวิต เสมือนกดปุ่มรีเซ็ตเครื่องคอมพิวเตอร์ แม้นวัตกรรมดังกล่าวยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการให้นำมาใช้ในวงการการแพทย์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันคือหนึ่งในหนทางแห่งความหวัง
     ประติมากรรม ‘เทวตำนานการกวนเศียรสมุทร’ ที่เราๆท่านๆอาจเคยเห็นเมื่อเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นหนึ่งในตัวอย่างแห่งเรื่องเล่าของความปรารถนาความเยาว์วัย ตำนานการกวนน้ำอมฤตในหมู่เทวดาและอสูรที่กินเวลายาวนานเป็นพันๆปี เพื่อได้ดื่มกินน้ำอมฤตและทำให้กายาเป็นอมตะ
เอ็ดเวิร์ดฝังเขี้ยวแวมไพร์ในร่างของเบลล่า สาวคนรัก เพื่อให้เธอฟื้นคืนชีพใหม่และกลายร่างจากมนุษย์เป็นแวมไพร์ จะได้ครองคู่กับเขาในฐานะคนรักตราบนานแสนนาน จากนวนิยายและภาพยนตร์ภาคต่อชื่อดังซึ่งทำรายได้ถล่มทลายอย่าง แวมไพร์ ทไวไลท์
     ย้อนกลับไปยังบทสนทนาระหว่างโจชามี กิบส์ และกับตันแจ็ค สแปร์โรว์ที่ปฏิเสธการมีชีวิตเป็นอมตะ ด้วยเหตุผลว่า ชีวิตจะมีอะไรสนุก ถ้าเรารู้ว่า จะตายวันไหน…
3

 “ข้าว่าถ้าเราไม่รู้เวลาตายจะสนุกกว่า ทุกนาทีในชีวิต เราอยู่กับปริศนาซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด”
     ลองพูดประโยคข้างต้นด้วยท่วงทำนองของมนุษย์ปุถุชน ยิ้มเฝื่อนที่มุมปาก แล้วกระพริบตาข้างหนึ่งเบาๆ ฉันว่ามันออกจะเท่ดี
     คิดไหม ว่าถ้าเราไม่แก่ ไม่ตาย เราก็ไม่มีคุณสมบัติของความเป็นคน
     โรคภัยที่ไม่อาจรักษาได้ในมนุษย์ ไม่ใช่เอดส์ ไม่ใช่มะเร็ง โรคพวกนี้ ฉันว่ามียารักษา เพียงแต่ว่ายังไม่ค้นพบ
     โรคแก่ และโรคตายต่างหากที่ไม่เคยห่างหายไปจากมนุษย์ไม่ว่ายุคไหนๆ
     โรคแก่ และโรคตาย สอนให้เราใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีคุณค่า เพื่อตัวเอง และเพื่อคนที่เรารัก
     อย่าลืมบอกความลับในความรักให้คนรักของท่านได้รับรู้ เพราะเราเป็นมนุษย์ที่ไม่อาจรู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้สำหรับเราเพื่อที่จะบอกรักเขาไหม… ที่สำคัญ อย่าลืมทำให้ใครคนนั้นได้รับรู้ด้วยว่า คุณรักเขามากเพียงใด
YOUNG : เยาว์
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด
  • Young – เป็นคำคุณศัพท์ มีความหมายว่า เยาว์วัย อ่อนวัย หรือถ้าเป็นคำนาม จะหมายถึง คนที่มีอายุน้อย หรือลูกอ่อนของสัตว์ก็ได้ค่ะ ส่วน Youth – เป็นคำนาม หมายถึง วัยหนุ่มสาว หรือความเป็นหนุ่มสาวค่ะ
  • The Fountain of Youth คือ น้ำพุแห่งความเยาว์วัย ตามตำนานในภาพยนตร์ชุดไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียน ภาค 4 
  • Fountain แปลว่า น้ำพุ แต่ถ้า fountain pen จะแปลว่า ปากกาหมึกซึมจ๊ะ   
  • “Death is a distant rumor to the young.” เป็นคำพูดของ Andy Roony นักเขียนบทวิทยุและโทรทัศน์ชื่อดังชาวอเมริกัน มีความหมายเก๋าๆและเป็นสัจธรรมว่า ความตายคือข่าวลือหึ่งๆถึงคนเยาว์วัยนั่นเองค่ะ
  • Juan Ponce de Leon คือ นักสำรวจชาวสเปน ผู้ที่เคยออกตามหาน้ำพุแห่งความเยาว์วัยมาแล้วจริงๆ ในอดีต โดยเมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปในดินแดนแห่งใหม่คืออเมริกา ระหว่างทางเขาได้ยินชาวพื้นเมืองกล่าวถึงน้ำพุนี้ ด้วยความสนใจ เขาจึงออกตามหา โดยสถานที่แรกที่ไปคือบริเวณที่ตั้งของรัฐฟอริด้าในปัจจุบัน แต่ชั่วชีวิตของ Juan Ponce de Leon เขาก็ไม่เคยได้เห็นน้ำพุแห่งความเยาว์วัยนี้ด้วยตาตนเองเลย แต่เขาก็เชื่อว่ามันมีอยู่จริง จึงได้นำเรื่องมาเล่าให้เพื่อนๆนักเดินเรือด้วยกันฟัง จนเป็นที่แพร่หลายแก่หมู่นักเดินเรือชาวสเปนในยุคสำรวจโลกในเวลาต่อมา
  • เอ็ดเวิร์ด ทีช หรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า โจรสลัดเคราดำ (Blackbeard) สุดยอดโจรสลัดจอมโหดที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โจรสลัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หนวดเคราอันหนาครึ้มเต็มใบหน้า เป็นกัปตันของเรือควีน แอนส์ รีเวนจ์  (Queen Anne's Revenge) ที่ออกปล้นบริเวณคาบสมุทรอินเดียตะวันตก คาบสมุทรแคริบเบียน และชายฝั่งตะวันออกของเหล่าเมืองขึ้นของอเมริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 18
  • ขอขอบคุณเรื่องราวของ Juan Ponce de Leon และ Blackbeard จากhttp://www.oknation.net/blog/print.php?id=717366 ค่ะ 
 
STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน


JOB & WORK: การงานอาชีพ
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด


 1

     ฉันมักถ่อไปซื้อเครื่องเขียนจากก๊ะ (พี่สาว) ร้านเครื่องเขียนเจ้าประจำ แม้จะมีร้านอื่นที่อยู่ใกล้ซอยกว่า เพราะก๊ะมักจะต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้ม ก๊ะรู้หมดว่าของทุกอย่างในร้านวางอยู่ตรงไหน อะไรที่มีหรือไม่มีบ้าง
     ในกรณีที่ไม่รีบมาก เวลาที่ไปส่งพัสดุ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ ฉันก็เจาะจงเข้าแถวที่พนักงานหน้าตายิ้มแย้มเบิกบาน และให้คำแนะนำอย่างเป็นกันเอง แม้จะมีแถวอื่นๆที่สั้นกว่าก็ตาม
     ฉันชอบไปอุดหนุนร้านขายข้าวมันไก่อบน้ำผึ้งเจ้าเดิม แม้ว่าเธอจะมาเสิร์ฟและคิดเงินช้าหน่อย แต่ทุกขณะที่เธอตักข้าวมันไก่ใส่จาน เธอมีความสุขเสมอ รสชาติอร่อย ราคาถูกและเยอะด้วย อันนี้สำคัญ เพราะฉันเน้นปริมาณความจุ ให้กระเพาะมันอิ่ม
     ฉันอดอมยิ้มไม่ได้ เมื่อดูข่าวพนักงานจราจรที่เป่านกหวีดตามจังหวะพร้อมโชว์ลีลายักย้ายกลางสี่แยกไฟแดงที่มีรถคับคั่งในชั่วโมงเร่งด่วน โดยเฉพาะยามแดดร้อนทะลุองศาเดือด
  

เวลาที่ได้เจอคนที่ได้ทำในสิ่งที่รักและถนัด คุณเห็นด้วยกับฉันไหมว่า…
มีรังสีความสุขที่แผ่ออกมาจากคนๆนั้น ให้เราได้รับรู้และรู้สึกด้วย

2

     ตอนกรอกประวัติส่วนตัวเมื่อสองสามปีก่อน มีช่องหนึ่งที่ต้องเติมเกี่ยวกับเป้าหมายในอนาคต ฉันกรอกลงไปว่า
     “อยากเรียนรู้ในทุกๆวันของชีวิต ตอนที่ยังมีไฟอยู่ อาจเปลี่ยนที่ทำงานและอาชีพที่ทำไปเรื่อยๆ มีความสุขกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือเรียนรู้สิ่งเดิมๆในมุมมองที่เปลี่ยนไป พอไฟเริ่มมอด เราก็จะค้นพบว่า สิ่งไหนที่เรารัก และพร้อมจะอยู่กับมันไปนานๆ จะเริ่มใช้ชีวิตนิ่งๆ อยู่กับครอบครัว ดูแลแม่ และหาโอกาสถ่ายทอดสิ่งที่เราได้รับมาให้กับคนอื่น”
     พอลองเอากลับมาอ่านอีกที ทำให้รู้สึกขำนิดๆว่า เออแฮะ! อย่างกับจะตอบคำถามชิงมงกุฎ รู้อย่างนี้ น่าจะต้องไม่ลืมขึ้นต้นก่อนตอบคำถามว่า ‘ขอบคุณสำหรับคำถามค่ะ’
     โลกที่หมุนผ่านไปในแต่ละวันทำให้ฉันเรียนรู้ว่า หนึ่งในบรรดาคนที่โชคดี คือ ‘คนที่ได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก’
     คิดเอาง่ายๆว่า ในชีวิตของคนหนึ่งคน เราต้องเจอกับอะไรมาบ้างกว่าจะฝ่าฟันมาได้ถึงปัจจุบัน มีปัจจัยหลากหลายที่นำเราสู่สิ่งที่กำลังทำอยู่ขณะนี้ - ปัจจัยจากตัวเราเอง ตอนที่เราต้องลองผิดลองถูก ลองเรียนรู้ ศึกษา และลองทำหลายๆอย่างเพื่อค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่เรารัก ถนัด และเราสามาถใช้เวลาอยู่กับมันได้นานๆ - ปัจจัยจากครอบครัวที่สนับสนุนหรือคัดค้าน เพราะบางครั้ง ความเป็นห่วงและความรักของคนในครอบครัว ก็อาจเป็นอุปสรรคหนึ่งของการก้าวไปสู่ความฝัน ใครบางคนจึงอาจต้องซ่อนฝันเอาไว้ จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสมที่จะเปิดเผยมันออกมา เช่นที่บางคนอาจต้องเรียนตามความต้องการของครอบครัว แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักหรือถนัดในสิ่งนั้นเลยก็ตาม – และปัจจัยอื่นๆที่มากมายประดามี จะอธิบายให้ถ้วนถี่คงไม่หมด
     ด้วยอายุเท่านี้ ฉันเข้าข้างตัวเองว่า ฉันประสบความสำเร็จในชีวิตประมาณหนึ่งแล้วแหละ ฉันได้ลองทำในหลายสิ่งอย่างที่ฉันรัก ได้สอนภาษา ได้ทำงานที่เกี่ยวกับตัวอักษร อย่างเช่นงานแปลและงานเขียน ได้ถ่ายภาพ ทำงานเก็บหอมรอมริบ และออกเดินทางไปเรียนรู้โลกในมุมต่างๆ ทั้งเพื่อเปิดโลกทัศน์ และได้นั่งนิ่งๆ ในสถานที่ที่แตกต่าง เพื่อฟังบทสนทนาของหัวใจตัวเอง ได้รับรู้ทั้งสุขและทุกข์ ... ได้รับรู้ว่า ‘เรากำลังใช้ชีวิต’
     แม้สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ในขณะนี้ มันอาจจะดูไม่มั่นคงนักในสายตาของคนรอบข้าง แต่ฉันเชื่ออยู่ลึกๆว่า ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราจะมีพละกำลังต่อสู้กับอุปสรรคมากมายที่ขวางหน้า 

3

ขงจื๊อ นักปราชญ์ชาวจีน กล่าวไว้ว่า...
“จงเลือกงานที่คุณรัก แล้วคุณจะรู้สีกว่า คุณไม่ต้องทำงานเลยแม้แต่วันเดียว”
 “Choose a job you love, and you will never have to work a day in your life.”

JOB & WORK: การงานอาชีพ     
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด

     ขงจื๊อ (Confucius) ถือเป็นนักคิดและนักปรัชญาสังคมที่มีชื่อเสียงของจีนและของโลก ท่านมีชีวิตอยู่เมื่อสมัยประมาณ 500 ปีก่อนคริตศักราช ชาวไทยเรียกปราชญ์ผู้นี้ด้วยหลายหลากนาม เช่น ขงฟู่จื่อ ขงจื่อ ข่งชิว
     คำสอนของขงจื๊อนั้นฝังรากอิทธิพลลึกลงไปในสังคมเอเชียตะวันออกมาเป็นเวลาถึงยี่สิบศตวรรษ หลักปรัชญาของขงจื๊อเน้นเกี่ยวกับศีลธรรมส่วนตัวและศีลธรรมในการปกครอง ความถูกต้องเหมาะสมของความสัมพันธ์ในสังคม กระทั่งถึงความยุติธรรมและความบริสุทธิ์ใจ 


“Choose a job you love, and you will never have to work a day in your life.”
Confucius – ancient philosopher

  • Confucius เป็นนามภาษาอังกฤษที่เรียก ขงจื๊อค่ะ 
  • Choose a job you love = จงเลือกงานที่คุณรัก
  • and you will never have to work a day in your life = แล้วคุณจะรู้สีกว่า คุณไม่ต้องทำงานเลยแม้แต่วันเดียว
  • ขออธิบายว่า job กับ work ที่ดูเหมือนคล้ายแต่มีความหมายต่างกันนิดหน่อยค่ะ กล่าวคือ job  เป็นงานที่เมื่อทำแล้วได้เงินเป็นค่าตอบแทน ส่วน work คือ งานที่ต้องอาศัยความทุ่มเท อาจจะหนักหนา และบางทีก็ไม่ได้เงินเป็นค่าตอบแทน (แต่มันก็อาจมีความสุขปนอยู่ในนั้นด้วยค่ะ) 
  • หากกลัวจะจำสลับกัน ก็จำเอาง่ายๆว่า เราเรียกการบ้าน เป็นภาษาอังกฤษว่า ‘homework’ และเรียกงานบ้านว่า ‘housework’ งานทั้งสองอย่าง ทำแล้วเหนื่อย และไม่ได้เงิน แต่เราจะมีความสุขเมื่อทักษะเราเพิ่มหลังจากทำการบ้าน และเมื่อเราทำงานบ้าน บ้านเราก็จะสะอาดนั่นเองค่ะ
  • สุดท้ายแล้ว ของให้ทุกคนได้งานดีๆ และสนุกกับการทำงานนะคะ - Get a good job and enjoy your work!  
 
STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน
EXPERIENCE : ประสบการณ์
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด
 
 
1

    ไม่กี่วันที่ผ่านมา กระดาษเอสี่ไม่กี่แผ่นพร้อมตราดุนมหาวิทยาลัยทำให้ฉันรู้สึกแปลกแปร่งบอกไม่ถูก คงเพราะเนื้อความในหนังสือรับรองที่ออกโดยฝ่ายทะเบียนนั้น เป็นหลักฐานอย่างดีที่ยืนยันว่า ‘หนูเรียนจบแล้วนะคะ’

2

     หากฉันเอ่ยรหัสนักศึกษา (ที่มีตัวเลขสองตัวแรกบ่งบอกปีการศึกษาที่ฉันเริ่มเข้ามาเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย)ออกไปให้ใครได้ยินแล้วล่ะก็ รับรองว่ามันจะทำให้ใครหลายๆ คน โดยเฉพาะน้องๆ นักศึกษาปีหนึ่งต้องร้องโอ้โหว่า ‘นักศึกษารหัสนี้ ยังมีเรียนอยู่อีกหรอเนี่ย!!!’
     ฉันเคยเจอประสบการณ์นี้มากับตัวบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสองสามเดือนก่อน คราที่รุ่นน้องคนหนึ่ง วานให้ฉันไปช่วยติวหนังสือก่อนสอบย่อยให้ แล้วฉันเผลอบอกรหัสนักศึกษาออกไป น้องคนนั้นถึงกับขำกลิ้ง พยายามบอกฉันด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า ‘เอ่อ...ตอนพี่อยู่ปีหนึ่ง ผมเพิ่งเข้าม.หนึ่งเองครับ เอิ๊กๆๆ’
     ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าทำไมน้องถึงต้องขำขนาดนั้น เพราะแม้แต่ฉันเอง ก็ไม่เคยคิดจินตนาการมาก่อนว่า จะใช้เวลาการเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนานขนาดนี้กว่าจะเรียนจบ (สักที)
     จะอย่างไรก็ตาม ฉันออกจะภูมิใจเสียด้วยซ้ำเมื่อได้บอกกับใครต่อใครว่า ‘ฉันยังเรียนไม่จบ’ แถมไม่ใคร่สาธยายต่อด้วย ว่าทำไมถึงยังเรียนไม่ยอมจบ ... ฉันเชื่อว่ามนุษย์แทบทุกคนมีความใฝ่รู้อยู่ในตัว ดังนั้น เหตุผลว่าทำไมฉันยังเรียนไม่ยอมจบ คงเป็นเรื่องที่พวกเขาสรรหาคำตอบด้วยตนเองได้ไม่ยากนักหรอก
     สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ ฉันโคตรเห็นด้วยกับข้อความสั้นๆ ในหนังสือเล่มหนึ่งของ ‘วินทร์ เลียววารินทร์’ ที่ว่า

“คุณค่าของการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
อาจอยู่ที่การใช้ชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัย”
 
 
3

     สำหรับท่านผู้อ่านที่ติดตามบทความในคอลัมน์คิดระหว่างบรรทัดอยู่เสมอ คงพอทราบกันบ้างว่า ฉันเป็นนักศึกษาที่ชีพจรลงเท้าและชอบโดดเรียน ไม่ค่อยชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆ เวลาโดดเรียน ไม่โดดหรอกแค่คาบสองคาบ ฉันโดดเรียนทีเป็นเดือนๆ ไม่ก็เป็นปี ถ้าถามว่าโดดเรียนไปไหน คงต้องเผยนิสัยน่ารักๆ ของฉันได้อีกอย่างหนึ่ง คือ การชอบแกว่งเท้าหาเรื่องและหาประสบการณ์ ฉันชอบสมัครทุนเพื่อไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนยังประเทศต่างๆ อันนี้ต้องขอบคุณฐานะทางบ้านที่มีแค่พอจะกิน (ไม่ได้มีอันจะกิน) ที่ทำให้ชีวิตนักศึกษาของฉันเลยเถิดมาไกลได้ถึงขนาดนี้ แม่ประกาศก้องตั้งแต่สมัยฉันเรียนมัธยมปลายว่า “เรื่องเรียนต่อต่างประเทศเหมือนชาวบ้านเขาน่ะ ไม่ต้องไปคิดหรอก ได้เข้ามหา’ลัยภูธร แค่นี้ ก็หรูมากแล้ว” นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ทิฐิมานะฉันบังเกิด ใช่แล้วล่ะ...ฉันอยากไปสูดอากาศเมืองนอกได้โดยไม่ต้องเปลืองเงินพ่อแม่
     ฉันเริ่มก่อกิเลสด้วยการไปทำพาสปอร์ตมาไว้เป็นเบื้องต้นก่อน เอาไว้เผื่อมีโครงการหรือทุนดีๆ ฉันจะได้สมัครง่ายๆ ไม่ต้องเอาเหตุผลเรื่องยังไม่มีพาสปอร์ตมาอ้าง ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ฉันก็บินลัดฟ้าไปประเทศจีนในฐานะหนึ่งในนักศึกษาโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แม้จะเป็นเวลาแค่สองสัปดาห์ แต่ก็เป็นการเปิดประสบการณ์ต่างประเทศสุดประทับใจของฉันเลยทีเดียว ถัดมาอีกสองสามเดือน ฉันก็เดินทางไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน ณ รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย เป็นเวลาสองภาคเรียน กลับมาเป็นนักศึกษาปีสี่ได้อีกแค่ปีเดียว ก่อนออกไปฝึกสอน คราวนี้ได้โอกาสดี บินข้ามทวีปไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่อเมริกาถึงสองเดือน
    หลายๆคนมักชมถึงคุณแม่ฉันว่า “คุณแม่เก่งจัง กล้าดีจัง ที่อนุญาตให้ลูกสาวไปอยู่ไกลๆ และคราวละนานๆ” เปล่าหรอก บางส่วนเป็นแผนการณ์ของฉันเอง ฉันไม่เคยบอกที่บ้านเลย เวลาจะสมัครโครงการอะไร เอาไว้ค่อยบอกทีเดียวตอนผลประกาศออกมาแล้วว่าฉันได้รับคัดเลือก ทีนี้มันก็จะมีเวลาแค่ไม่กี่วันให้ตัดสินใจยืนยันสิทธิ์ ถึงตอนนั้น ก็เหมือนกับการมัดมือชกดีๆ นี่เอง ไม่ต้องขออนุญาตแล้วล่ะ แค่แจ้งเพื่อทราบ พร้อมกับบอกคุณแม่อ้อนๆว่า “นะ นะ น๊า... อุตส่าห์สอบได้ ได้ไปต่างประเทศฟรีๆ ดีจะตายชัก ต้องคอนเฟิร์มภายในวันนี้น๊า... ไม่งั้นเสียโอกาส เสียดายแย่” แค่นั้นแหละ คุณแม่ก็เซย์เยสแล้ว
     บางครั้ง คำบางคำของบางคน มันก็อาจบั่นทอนโอกาสของเราออกไปก่อนที่เราจะได้เดินทางไปคว้าโอกาสนั้นด้วยซ้ำ ฉันเห็นหลายๆคน มีความสามารถมากพอ แต่ก็ไม่กล้าสมัครเพราะคิดว่า “ถึงได้ไป ที่บ้านก็ไม่ให้ไปหรอก” นั่นเป็นแค่การบั่นทอนจากคนอื่น มันไม่เลวร้ายมากเท่ากับการที่เราบั่นทอนตัวเองด้วยเหตุผลพื้นๆ ที่ว่า “ไม่สมัครดีกว่า ฉันไม่เก่งพอ คงไม่ได้รับเลือกหรอก” ฉันอยากประกาศไว้ตรงนี้เลยว่า “คนที่มีสิทธิ์ตัดสินว่าคุณได้หรือไม่ได้ คือคณะกรรมการ ไม่ใช่ตัวคุณเอง ดังนั้น เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว ก็สมัครไปเลย อย่ารอช้า ได้หรือไม่ได้มันเป็นอีกเรื่องนึง” 
    ชีวิตในต่างประเทศไม่ได้สวยงามเหมือนในฝัน ฉันต้องปรับตัวเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในหลายๆ ด้าน ทว่าอุปสรรคมากมายที่ต้องฟันฝ่ากลับก่อร่างสร้างประสบการณ์มากมาย ฉันดีใจที่ไม่ได้แค่เติบโตขึ้นด้วยกาลเวลา แต่เลขอายุที่เพิ่มขึ้นได้นำพาวุฒิภาวะมาพร้อมๆกัน แม้มันจะไม่มากนัก แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญสำหรับเราเสมอ จากที่เมื่อก่อนเคยเป็นเด็กค่อนข้างเอาแต่ใจตามประสาลูกคนเล็ก พอต้องใช้ชีวิตอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครคอยตามใจเรา และต้องดิ้นรนฝ่าฟันทุกอย่างด้วยตนเอง ความยากลำบากมันทำให้เรารู้ซึ้งว่า ไม่มีใครรักเราและหวังดีกับเราเท่ากับคนที่บ้าน  และท้ายที่สุดแล้ว ระยะเวลาสองสัปดาห์ในจีน สองภาคเรียนในมาเลเซีย และสองเดือนที่อเมริกา ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า

“เราเดินทางออกไป ไม่ใช่แค่เพื่อเรียนรู้โลกกว้าง แต่เพื่อที่จะรู้จักตัวเองด้วย”
 
EXPERIENCE : ประสบการณ์
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด
 
Don’t forget to say ‘CONGRATULATIONS’ to me.
I’ve already graduated after almost seven years of being a university student.
By the way I really proud of my two weeks in China,
my two semesters in Malaysia and my two months in the States before my graduation.”
“อย่าลืมแสดงความยินดีกะหนูนะคะ
ในที่สุดหนูก็เรียนจบแล้วจร้า... หลังจากเป็นนักศึกษามหา’ลัยมาตั้งเกือบเจ็ดปีแน่ะ
แต่จะยังไงก็เห๊อะ หนูโคตรภูมิใจกับสองสัปดาห์ในจีน
สองเทอมในมาเลเซีย แล้วก็สองเดือนในอเมริกาชะมัดเลย”
  • Congratulations เป็นคำที่เอาไว้กล่าวแสดงความยินดีค่ะ ไม่จำเป็นต้องเนื่องในโอกาสจบการศึกษาก็ได้ค่ะ ขอแค่อย่าลืมเติม –s ต่อท้ายเป็นพอ 
  • Graduate เป็นได้ทั้งคำนามและกริยา ถ้าเป็นคำนาม หมายถึง บัณฑิต หรือผู้สำเร็จการศึกษา ส่วนถ้าเป็นกริยา จะหมายถึง สำเร็จการศึกษา ส่วน graduation เป็นคำนาม หมายถึง การสำเร็จการศึกษา  
  • By the way เป็นสำนวนที่มีความหมายเก๋ๆ ว่า อนึ่ง หรือ อีกอย่างหนึ่ง หรือที่ฝรั่งเค้าชอบพิมพ์กันย่อๆในแชทว่า BTW นั่นเองค่ะ 
  • The States เป็นชื่อเล่นของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ USA นั้นเองค่ะ ห้ามลืมเติม –s ต่อท้ายเหมือนกันค่ะ เพราะประเทศนี้มีรัฐหลายๆรัฐ ที่รวมกันขึ้นมาเป็นประเทศค่ะ 
  • Experience เป็นได้ทั้งคำนามและกริยาเช่นเดียวกันค่ะ ถ้าเป็นคำนาม หมายถึง ประสบการณ์, ความชำนาญ, ความเชี่ยวชาญ, ความรู้จากประสบการณ์ ส่วนถ้าเป็นกริยา หมายถึง มีประสบการณ์, ได้รับประสบการณ์, ประสบกับ, พบกับ นั่นเองค่ะ เติม -d ต่อท้ายไปอีกหนึ่งตัว จะกลายเป็นคำคุณศัพท์ นั่นก็คือ experienced หมายถึง มีประสบการณ์, จัดเจน, ฉลาด, เชี่ยวชาญ หรือชำนาญ ค่ะ
 
 STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน