MAKE UP : ใครๆเขาก็แต่งกัน
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด
ต้นไม้ต้นนั้น
สวย
เหมือนผู้หญิงไม่แต่งหน้า.
Ref. นิ้วกลม
2
ฉันมักจะออกไปข้างนอกด้วยหนังหน้าเดียวกับที่ออกจากห้องน้ำ นั่นคือ หน้าตอนออกจากห้องน้ำเวลาอาบน้ำเสร็จเป็นแบบไหน หน้าตาเวลาสตาร์ทมอเตอร์ไซค์บึ่งออกไปปากซอยก็จะเป็นแบบนั้น
ฉันโคตรเห็นด้วยว่า หน้าตาไร้เมคอัพที่มีเนี่ย สบายดีที่สุดแล้ว จริงๆแล้ว ‘สบายดี’ ไม่ได้มีมีความหมายเดียวกับ ‘สวยดี’ หรอก แต่ทุกครั้งที่ต้องออกงานสังคมหรืองานอีเว้นท์ (เอ่อ...งานอีเว้นท์ ฟังดูจะเป็นซูเปอร์สตาร์ไปหรือเปล่า ไม่รู้เหมือนกัน) แล้วต้องแต่งตัวแต่งหน้าเพื่อให้เกียรติสถานที่และเจ้าภาพงานทีไร หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา แล้วเรากลับมามองตัวเองที่หน้ากระจก ภาพก่อนล้างเครื่องสำอางค์และหลังล้างเครื่องสำอางค์ออกแล้ว ภาพหลังจะโดนใจตัวเองมากกว่า
อันนี้ไม่ได้มั่นใจในหน้าตาตัวเองมากมาย เพราะคนอื่นอาจต้องปวดร้าวเมื่อเห็นหน้าตาสดๆของฉันก็ได้ ด้วยความที่เพื่อนผองและคนรอบข้างชินกับหน้าตาสดๆของฉันนี่แหละ เวลาไปงานจำพวกนี้ ซึ่งอาจจะมีแค่ครั้งหรือสองครั้งในรอบปีแล้วฉันจัดเต็มไป บางคนที่เพิ่งมาเจอตอนที่เราแต่งหน้าเป็นครั้งแรก จะอึ้งหน่อยๆ แล้วบอกว่า “เฮ้ย! แกมีอุปกรณ์ครบขนาดนี้เลยเหรอ” ความหมายระหว่างบรรทัดก็คือ ทำไมไม่ยอมแต่งตัวแต่งหน้าบ้างเนี่ย จะทำตัวโทรมไปไหน บางคนก็คิดว่าฉันคงไม่ประสีประสาเรื่องการแต่งหน้า ก็จะถามว่า “แต่งหน้าที่ร้านไหนหรอคะ” ถึงตอนนี้ฉันจะอมยิ้ม ทำหน้าสวยๆเนียนๆแบบเวลาหนูหิ่นเก๊ก แล้วตอบไปว่า “อ๋อ แต่งเองอ่ะค่ะ”
ในทางกลับกัน เวลาไปทำโครงการอะไรต่างๆ แล้วต้องอยู่ในมาดดูดี อย่างเช่นต้องเป็นพิธีกรหรืออะไรเทือกนี้ แล้วฉันได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ (พี่ใหม่ น้องใหม่ อาแบใหม่ อาเด๊ะใหม่ ...) ฉันจะแอบกระซิบบอกพวกเขาว่า “เจอกันข้างนอกก็ทักกันด้วยละกันนะคะ ...อาจจะดูโทรมๆหน่อย ก็อย่าตกใจไปนะ” พูดแล้ว ทำหน้ายิ้มๆอีกที
อาแบร้านน้ำชาที่สนิทสนมกันมักจะแซวว่า
“…ไม่เคยเห็นเราสวมผ้าคลุมผมสีอื่น นอกจากสีดำ แนะนำนะว่า ทำไมไม่ลองสวมผ้าคลุมสีอ่อนๆ หรือลายสวยๆดูบ้างล่ะ แบว่าคงจะน่ารักขึ้นกว่านี้ แว่นที่สวมน่ะนะ ก็ลองถอดออกบ้างสิ หรือไปเปลี่ยนให้กรอบมันเล็กๆ น่ารักๆกว่านี้หน่อย จะทำตัวดูแก่ไปไหน อ้อ...อีกอย่างนึงนะ ตั้งแต่มาทานร้านแบเนี่ย ไม่เคยเห็นเราแต่งหน้าทาแป้งเลยนะ ทำไมไม่ลองแต่งหน้าอ่อนๆดูบ้าง เผื่อจะได้มีหนุ่มๆเข้ามาบ้างไง...”
เอ่อ...ที่อาแบพูดมาเนี่ย อาแบไม่ได้ได้พูดม้วนเดียวจบ รอบเดียวยาวเหยียดแบบนี้หรอก แต่ถ้าจะให้เล่าเป็นบทสนทนา เกรงว่าจะสังเวชตัวเองมากกว่านี้ จำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกตอนที่มีผู้ชายมาช่วยเป็นคอมเมนต์เตเตอร์เรื่องความสวยความงามและคอยเป็นห่วงเป็นใยภาพลักษณ์ อีกทั้งช่วยกังวลถึงอนาคตชีวิตคู่ของเราแล้ว ฉันรู้สึกยังไง (ขอย้ำว่า อาแบเป็นผู้ชายเต็มร้อย แต่งงานมีครอบครัวแล้ว และไม่ได้เป็นชายสวยแต่อย่างใด) แต่ทว่ามันก็ไม่ได้ทำให้อะไรในตัวฉันดีขึ้นสักเท่าไหร่ ฉันก็ยังไปร้านน้ำชาของอาแบด้วยภาพลักษณ์เดิมๆ นึกแล้วน่าสงสารอาแบอยู่เหมือนกัน และเพื่อไม่ให้อาแบเป็นห่วงไปมากกว่านี้ (ว่าฉันแต่งตัวไม่เป็นและคงไม่แต่งตัวแน่ๆ) หลังจากกลับจากงานเลี้ยงส่งรุ่นน้องที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ฉันเลยแวะไปหาแกที่ร้านด้วยลุคใหม่ที่ทำให้ทั้งอาแบและเด็กเสิร์ฟในร้านอึ้งกิมกี่ อาแบดูท่าจะดีใจ แล้วมาบอกว่า “แบสังเกตนะ เห็นหนุ่มๆในร้านมองเราทุกโต๊ะเลย มีแววจะมีแฟนกะเค้าแล้วนะเนี่ย” โธ่! แบขา...ไม่ใช่แบคนเดียวนะคะ ที่ห่วงอนาคตชีวิตคู่ของหนู แต่หนูเองก็ห่วงอนาคตชีวิตคู่ของหนูเหมือนกันค่ะ
แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ฉันเองก็แอบอดคิดคดในใจไม่ได้ว่า ถ้าถึงขั้นต้องแต่งสวยเพื่อให้หนุ่มๆที่มองเฉพาะหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกมาเมียงมองและจะได้มีฟงมีแฟนกับใครเขาแล้ว มันดูจะเป็นกระทำที่ไม่เข้าคอนเซปต์ฉันอยู่สักหน่อย
ฉันโคตรเห็นด้วยว่า หน้าตาไร้เมคอัพที่มีเนี่ย สบายดีที่สุดแล้ว จริงๆแล้ว ‘สบายดี’ ไม่ได้มีมีความหมายเดียวกับ ‘สวยดี’ หรอก แต่ทุกครั้งที่ต้องออกงานสังคมหรืองานอีเว้นท์ (เอ่อ...งานอีเว้นท์ ฟังดูจะเป็นซูเปอร์สตาร์ไปหรือเปล่า ไม่รู้เหมือนกัน) แล้วต้องแต่งตัวแต่งหน้าเพื่อให้เกียรติสถานที่และเจ้าภาพงานทีไร หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา แล้วเรากลับมามองตัวเองที่หน้ากระจก ภาพก่อนล้างเครื่องสำอางค์และหลังล้างเครื่องสำอางค์ออกแล้ว ภาพหลังจะโดนใจตัวเองมากกว่า
อันนี้ไม่ได้มั่นใจในหน้าตาตัวเองมากมาย เพราะคนอื่นอาจต้องปวดร้าวเมื่อเห็นหน้าตาสดๆของฉันก็ได้ ด้วยความที่เพื่อนผองและคนรอบข้างชินกับหน้าตาสดๆของฉันนี่แหละ เวลาไปงานจำพวกนี้ ซึ่งอาจจะมีแค่ครั้งหรือสองครั้งในรอบปีแล้วฉันจัดเต็มไป บางคนที่เพิ่งมาเจอตอนที่เราแต่งหน้าเป็นครั้งแรก จะอึ้งหน่อยๆ แล้วบอกว่า “เฮ้ย! แกมีอุปกรณ์ครบขนาดนี้เลยเหรอ” ความหมายระหว่างบรรทัดก็คือ ทำไมไม่ยอมแต่งตัวแต่งหน้าบ้างเนี่ย จะทำตัวโทรมไปไหน บางคนก็คิดว่าฉันคงไม่ประสีประสาเรื่องการแต่งหน้า ก็จะถามว่า “แต่งหน้าที่ร้านไหนหรอคะ” ถึงตอนนี้ฉันจะอมยิ้ม ทำหน้าสวยๆเนียนๆแบบเวลาหนูหิ่นเก๊ก แล้วตอบไปว่า “อ๋อ แต่งเองอ่ะค่ะ”
ในทางกลับกัน เวลาไปทำโครงการอะไรต่างๆ แล้วต้องอยู่ในมาดดูดี อย่างเช่นต้องเป็นพิธีกรหรืออะไรเทือกนี้ แล้วฉันได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ (พี่ใหม่ น้องใหม่ อาแบใหม่ อาเด๊ะใหม่ ...) ฉันจะแอบกระซิบบอกพวกเขาว่า “เจอกันข้างนอกก็ทักกันด้วยละกันนะคะ ...อาจจะดูโทรมๆหน่อย ก็อย่าตกใจไปนะ” พูดแล้ว ทำหน้ายิ้มๆอีกที
อาแบร้านน้ำชาที่สนิทสนมกันมักจะแซวว่า
“…ไม่เคยเห็นเราสวมผ้าคลุมผมสีอื่น นอกจากสีดำ แนะนำนะว่า ทำไมไม่ลองสวมผ้าคลุมสีอ่อนๆ หรือลายสวยๆดูบ้างล่ะ แบว่าคงจะน่ารักขึ้นกว่านี้ แว่นที่สวมน่ะนะ ก็ลองถอดออกบ้างสิ หรือไปเปลี่ยนให้กรอบมันเล็กๆ น่ารักๆกว่านี้หน่อย จะทำตัวดูแก่ไปไหน อ้อ...อีกอย่างนึงนะ ตั้งแต่มาทานร้านแบเนี่ย ไม่เคยเห็นเราแต่งหน้าทาแป้งเลยนะ ทำไมไม่ลองแต่งหน้าอ่อนๆดูบ้าง เผื่อจะได้มีหนุ่มๆเข้ามาบ้างไง...”
เอ่อ...ที่อาแบพูดมาเนี่ย อาแบไม่ได้ได้พูดม้วนเดียวจบ รอบเดียวยาวเหยียดแบบนี้หรอก แต่ถ้าจะให้เล่าเป็นบทสนทนา เกรงว่าจะสังเวชตัวเองมากกว่านี้ จำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกตอนที่มีผู้ชายมาช่วยเป็นคอมเมนต์เตเตอร์เรื่องความสวยความงามและคอยเป็นห่วงเป็นใยภาพลักษณ์ อีกทั้งช่วยกังวลถึงอนาคตชีวิตคู่ของเราแล้ว ฉันรู้สึกยังไง (ขอย้ำว่า อาแบเป็นผู้ชายเต็มร้อย แต่งงานมีครอบครัวแล้ว และไม่ได้เป็นชายสวยแต่อย่างใด) แต่ทว่ามันก็ไม่ได้ทำให้อะไรในตัวฉันดีขึ้นสักเท่าไหร่ ฉันก็ยังไปร้านน้ำชาของอาแบด้วยภาพลักษณ์เดิมๆ นึกแล้วน่าสงสารอาแบอยู่เหมือนกัน และเพื่อไม่ให้อาแบเป็นห่วงไปมากกว่านี้ (ว่าฉันแต่งตัวไม่เป็นและคงไม่แต่งตัวแน่ๆ) หลังจากกลับจากงานเลี้ยงส่งรุ่นน้องที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ฉันเลยแวะไปหาแกที่ร้านด้วยลุคใหม่ที่ทำให้ทั้งอาแบและเด็กเสิร์ฟในร้านอึ้งกิมกี่ อาแบดูท่าจะดีใจ แล้วมาบอกว่า “แบสังเกตนะ เห็นหนุ่มๆในร้านมองเราทุกโต๊ะเลย มีแววจะมีแฟนกะเค้าแล้วนะเนี่ย” โธ่! แบขา...ไม่ใช่แบคนเดียวนะคะ ที่ห่วงอนาคตชีวิตคู่ของหนู แต่หนูเองก็ห่วงอนาคตชีวิตคู่ของหนูเหมือนกันค่ะ
แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ฉันเองก็แอบอดคิดคดในใจไม่ได้ว่า ถ้าถึงขั้นต้องแต่งสวยเพื่อให้หนุ่มๆที่มองเฉพาะหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกมาเมียงมองและจะได้มีฟงมีแฟนกับใครเขาแล้ว มันดูจะเป็นกระทำที่ไม่เข้าคอนเซปต์ฉันอยู่สักหน่อย
3
ได้แต่แอบหวังอยู่ลึกๆว่า วันหนึ่งจะมีใครมาเห็นฉันเป็น ‘ต้นไม้ที่สวยเหมือนผู้หญิงไม่แต่งหน้า’ อย่างบทกวีที่พี่นิ้วกลมเขาว่าเอาไว้
MAKE UP : ใครๆเขาก็แต่งกั น
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด
“เอ่ออออ...หน้าหนูเวลาออกจากห้องน้ำเป็นแบบไหน ตอนออกไปข้างนอกก็เป็นแบบนั้นอ่ะค่ะ
หนูว่าหนูชอบหน้าเปลือยๆแบบไร้เครื่องสำอางค์แบบนี้แหละค่ะ โล่งดี”
“Ummm…I usually go out in the same face as when I finish my washing up.
I like my face in the raw - no makeup – freaking free.”
as = เหมือน เท่ากัน
washing up = เรียกแทน take a shower/ take a bath ได้แบบดูดี๊ดูดีในแบบที่ฝรั่งเค้าใช้กัน
in the raw = ดิบๆ ไร้การแต่งเติม เป็นยังไงก้อเป็นอย่างงั้น
แต่มีสำนวนที่ใช้กันอีกอัน คือ I sleep in the raw. ‘in the raw’ ในที่นี้ หมายถึง เปลือย หรือ นอนในชุดวันเกิด แบบไม่ใส่อะไรเลยนั่นเอง (Birthday suit = ชุดวันเกิด/เปลือย)
แต่มีสำนวนที่ใช้กันอีกอัน คือ I sleep in the raw. ‘in the raw’ ในที่นี้ หมายถึง เปลือย หรือ นอนในชุดวันเกิด แบบไม่ใส่อะไรเลยนั่นเอง (Birthday suit = ชุดวันเกิด/เปลือย)
freaking เป็นคำแสลง ที่ใช้กันบ่อยๆ ดูซอฟท์กว่า fucking นิดส์นึง แต่ความหมายก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ แปลตรงตัวหยาบคายมั่กม๊ากก แต่ในที่นี้ หมายถึง โคตร สุดๆ มากๆ อะไรประมาณนี้ คือ จะบอกว่า very มันยังไม่สะใจพอนั่นเอง ดังนั้น ‘freaking free’ จึงหมายถึง ‘สบายโคตรๆอ่าาา’ เหมือนกับที่เราๆ พูดกันติดปากว่า 'แม่ง' ดูไม่น่ารักเลยที่พูดคำนี้ออกไป แต่มันสื่อความหมายได้ถึงกึ๋นนั่นเอง
อย่างเพลง Billionaire ของพี่ Bruno Mars เขาว่าเอาไว้
‘fucking’ ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง เรื่องอย่างว่า แต่กลับหมายถึง ‘โอ๊ยยยย!! ตรูอยากเกิดมาเป็นมหาเศรษฐีโคตรๆเลยเว้ยเฮ้ย!!!’ คือ อยากเป็นม๊ากมาก นั่นเอง
อย่างเพลง Billionaire ของพี่ Bruno Mars เขาว่าเอาไว้
I wanna be a billionaire, so fucking bad.
ขอปิดท้ายงามๆด้วยคมคิดคำคนที่ไปอ่านเจอในโลกออนไลน์
Girls fall in love with what they hear.
Boys fall in love with what they see.
That’s why girls wear make-up and boys lie.
ผู้หญิงตกหลุมรักสิ่งที่เธอได้ยิน
ผู้ชายตกหลุมรักสิ่งที่เขาได้เห็น
นี่คือเหตุผลที่ผู้หญิงแต่งหน้าและผู้ชายโกหก
STORY BY: ตีกุฮ์ เบอแน
5 comments:
คนเขียนบล็อกเก่งจังเลยครับ บูรณาการเรื่องส่วนตัวกับภาษาอังกฤษได้อย่างลงตัว
แต๊งกิ้วมากมายค่าาา สำหรับคำชม มีคำแนะนำอะไรก็บอกได้เลยนะคะ ยังเป็นมือใหม่อยู่เลยค่ะ
it's nice blog ja Noona!
good idea :D
ชอบคะ อ่านแล้วเห็นภาพ นึกถึงหน้าพี่หนูนาเลยคะ
วันหลังส่งลิงค์มาให้อ่านอีกนะคะ
จร้าาาาาา
Post a Comment