Tuesday, October 16, 2012

Ramadan Abroad : รอมฎอนในต่างแดน
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด





 1
ALLAH IS WITH THOSE WHO RESTRAIN THEMSELVES.
อัลลอฮ์นั้นทรงอยู่กับบรรดาผู้อดทน
     
     อีกครั้งของปีที่มุสลิมทุกคนจะได้ต้อนรับเดือนรอมฎอนด้วยการถือศีลอด ฉันไม่อยากให้เรียกบทความในคอลัมน์นี้ว่าเป็นการเขียนขึ้นเพื่อตามกระแสสังคม เนื่องจากการทำความดีมิใช่การตามกระแสแต่อย่างใด และในฐานะที่โดยส่วนตัวของฉันแล้วยังเป็นผู้ที่ยังอ่อนแอเรื่องศาสนาอยู่มาก จึงอยากถือเอาโอกาสนี้นำเสนอเรื่องราวของเดือนรอมฎอนในอีกมุมมองหนึ่งมาเล่าสู่กันฟัง





     รอมฎอน คือเดือนที่ ๙ ตามปฏิทินอิสลาม มุสลิมทุกคนทั้งชายและหญิงไม่ว่ายากจนหรือร่ำรวย มียศศักดิ์สูงส่ง หรือเป็นคนธรรมดาสามัญต่างก็มีหน้าที่ต้องถือศีลอดเสมอกันตลอดทั้งเดือนอันประเสริฐนี้ ด้วยเหตุนี้เองหลายๆคนจึงเรียกเดือนนี้อย่างติดปากว่า ‘เดือนบวช’ มุสลิมจะต้องอดอาหาร น้ำ เครื่องดื่ม ตลอดถึงข้องดเว้นต่างๆ ทั้งกาย วาจา และใจ เพื่อฝึกตนเองให้มีความยำเกรงต่อพระเจ้าและรับรู้ความรู้สึกของคนยากจน และเดือนนี้ยังเป็นเดือนที่อัลกรุอานได้ถูกประทานลงมาเป็นทางนำให้กับมนุษย์ มุสลิมจึงต้องอ่านอัลกุรอาน เพื่อศึกษาถึงสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์รู้ว่าการเป็นอยู่ในโลกนี้และโลกหน้าจะเป็นอย่างไร และจะต้องทำตัวอย่างไรบ้าง กิจกรรมพิเศษที่มีกันเฉพาะในเดือนนี้ คือ การละหมาดตะรอเวียะฮ์ในยามค่ำคืน 

2

     เมื่อเดือนนี้ของปีที่แล้ว ฉันได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตต่างแดนผ่านโครงการแลกเปลี่ยน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ดินแดนที่ถือว่ามีคนแทบทุกชาติทุกภาษามาอยู่รวมกัน เพียงชั่วระยะเวลาสองเดือนที่ได้ไปอยู่ที่นั่น ฉันเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง และแน่นอนว่าประสบการณ์ต่างๆ ที่ฉันได้รับที่นั่นทำให้โลกทัศน์ของฉันเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกมากโข
     ก่อนเดินทาง ฉันตื่นเต้นไม่น้อย สาเหตุไม่ใช่เพราะการเดินทางข้ามทวีปผ่านเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ใช้เวลาในช่วงเดือนรอมฎอนในอีกซีกโลกหนึ่ง คุณแม่ผู้น่ารักแพ็คอินทผลัมสองกล่องให้ฉันลงในกระเป๋าเดินทางเพื่อให้แน่ใจว่า ฉันจะมีอินทผลัมเพียงพอสำหรับการเปิดบวช คุณแม่ไม่ลืมซื้อขมิ้นชันแคปซูลให้ เพราะท่านรู้ว่าฉันมักมีปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร และขมิ้นชันถือเป็นสมุนไพรไทยชั้นดีที่ฉันทานแล้วได้ผล ไม่นับรวมยาประจำตัวอื่นๆ ที่โดยมากแล้วเป็นยาสมุนไพรบรรจุแคปซูล ฉันเคยบอกใครๆ หลายคนว่า ฉันทานยาฟ้าทะลายโจรเมื่อเป็นไข้ ทานขมิ้นชันเมื่อปวดท้อง และครั้งหนึ่งที่ฉันไปซื้อยาขมตราใบห่อที่ร้านขายยา เภสัชกรประจำร้านถึงกับทำหน้าเหวอ เพราะไม่คิดว่าจะมีเด็กรุ่นใหม่ยังทานยาสุดแสนโบราณอย่างนี้อยู่ (ฉันแอบคิดในใจว่า ถ้ามีเด็กวัยรุ่นไปซื้อยาที่ต้องรับประทานตามลูกศร เขาคงไม่ทำหน้าเหวอขนาดนี้ – กรุณาสงบนิ่งสิบวินาทีเพื่อไว้อาลัยแก่เยาวชนยุคยาคุมกำเนิด)
     แอบใจเต้นตึกตัก ตอนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองในอเมริกา เนื่องด้วยเกรงว่าเจ้าหน้าที่จะตรวจกระเป๋าและสั่งให้ทิ้งอินทผลัมรวมถึงหยูกยาที่คุณแม่อุตส่าห์บ่นพลางจัดพลางมาให้ฉัน อัลฮัมดุลิ้ลละห์ที่อัลลอฮ์ทรงคุ้มครอง ฉันจึงผ่านด่านตรวจมาได้โดยสวัสดิภาพ
          เพื่อนร่วมโครงการหลายคนที่มาเดินทางมาจากประเทศต่างๆ แทบทุกทวีปทั่วโลก จนถึงตอนนี้ทุกคนก็ยังคงคิดถึงกันและส่งข่าวคราวถึงกันผ่านทางสังคมออนไลน์อยู่เสมอ การมีเพื่อนหลากหลาย ทำให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆและแลกเปลี่ยนทัศนคติซึ่งกันและกัน ยังจำได้ไม่ลืมเมื่อเพื่อนหลายคนแปลกใจที่ฉันบอกว่าเป็นมุสลิมจากประเทศไทย “เอ๊ะ! ประเทศไทยมีมุสลิมด้วยเหรอ นึกว่ามีแต่ชาวพุทธ” ตอนฉันสอนเพื่อนใช้ตะเกียบ บางคนคิดว่าฉันมาจากจีนหรือเปล่า (หน้าตาก็ใช่ว่าจะหมวยตรงไหน แถมยังมีผิวสีช็อกโกแลตอีกต่างหาก) มีเพื่อนคนหนึ่ง เขาไม่เคยแม้แต่จะได้ยินเรื่องการถือศีลอดมาก่อน แล้วนึกสะระตะอยากลองถือศีลอดบ้าง ไม่ทันถึงสิบเอ็ดโมงเช้า เขาเดินโงกเงกโงนเงนมาสารภาพกับฉันด้วยใบหน้าเจื่อนๆว่า “ไม่ไหวแล้ว มึนไปหมด ขอไปหาอะไรทานก่อนนะ เธอทนได้ไงเนี่ย” ฉันแอบกระซิบเบาๆในใจเมื่อเขาคล้อยหลังไปแล้วว่า “ศรัทธาไง” (บทสนทนาข้างต้นมีฉบับออริจอนัลเป็นภาษาอังกฤษค่ะ คิดว่าเอามาเล่ากันเป็นภาษาไทยคงได้อรรถรสกว่า)
          เดือนรอมฎอน เวลาสองทุ่มครึ่ง เวลาที่ใครหลายๆคนอาจคิดว่า ฉันคงละหมาดตะรอเวียะฮ์อยู่ แต่เปล่าเลย เวลานั้น คือเวลาที่พระอาทิตย์กลมโตเหมือนไข่เค็มเพิ่งจะลาลับขอบฟ้า หากพูดให้ดราม่าคงต้องบอกว่า ‘เวลาของเราไม่เท่ากัน’ กลางวันในฤดูร้อนของซีกโลกเหนือจะยาวนานกว่าปกติ เมื่อช่วงเวลาของการถือศีลอดถูกกำหนดด้วยการเคลื่อนที่ของพระอาทิตย์ นั่นหมายความว่า ฉันต้องถือศีลอดถึงเกือบสิบหกชั่วโมง ฉันมักพูดเล่นๆกับเพื่อนที่ไทยหลังจากเดินทางกลับมาแล้วว่า “หลังจากละศีลอด ละหมาดแล้ว ต้องทำการบ้านอีกกองพะเนิน บางครั้งกว่าจะเสร็จก็เกือบตีสอง ดื่มน้ำสักแก้วเพื่อแทนอาหารซะโฮร (อาหารที่ทานก่อนฟ้าสางในเดือนรอมฎอน) แล้วเข้านอน รวมๆแล้วเหมือนการละศีลอดพร้อมๆกับกินอาหารซะโฮรเลยทีเดียว อาจฟังดูโอ้โห! แม้แต่ตัวเองก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าจะผ่านมันมาได้ แต่ก็ผ่านมันมาแล้ว” ออกจะเสียดายนิดหน่อยก็ตรงที่โรคกระเพาะอาหารถามหา ไม่ได้ถือศีลอดอยู่หลายวัน ส่งผลให้ต้องงดไก่ทอด อาหารขยะทั้งหลายทั้งปวง มากินสลัดผักหรือทูน่าแทน แถมยังต้องทานขมิ้นชันบ่อยกว่าอินทผลัมเสียอีก    

3

     ท้องฟ้ายามอัสดง เมื่อพระอาทิตย์ในรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา เซย์กู้ดบาย ถือเป็นท้องฟ้าที่สวยงามที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็น ท้องฟ้าถูกย้อมสีไล่เป็นระดับ ตั้งแต่ม่วง-น้ำเงิน-ส้ม-ทอง ฉันมักมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างห้องครัวของหอพักมหาวิทยาลัยยามที่ฉันทำอาหารเพื่อละศีอด ในสองสามสัปดาห์สุดท้ายก่อนเดินทางกลับมาตุภูมิ ฉันค้นพบทางขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อชมพระอาทิตย์ตก ชี้ชวนเพื่อนๆต่างชาติไปชมด้วยกัน มุมมองพาโนรามาอย่างนี้ แม้จะโรแมนติกดีไม่เบา แต่ก็ทำเอาโรคคิดถึงบ้านกำเริบขึ้นมาตงิดๆได้ไม่หยอกเหมือนกัน


Ramadan Abroad : รอมฎอนในต่างแดน
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด

Last year, I had spent the holy month of Ramadan in the States
The sun set at about 8:30 p.m. I had to break fast at the time.” 
  • holy = อันศักสิทธิ์ เป็นคำคุณศัพท์ (adj.) คำหนึ่งที่สามารถวางขยายหน้าคำนามได้ เช่น the holy Quran = คัมภีร์อัลกุรอ่านอันศักสิทธิ์
  • the States เป็นชื่อเรียกโดยย่อๆของ The United States of America หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม USA
  • p.m. มีคนจำนวนไม่น้อยที่สับสนว่า ไอ้เจ้า a.m. กับ p.m. ต่างกันตรงไหนแล้ว จำง่ายๆเลยค่ะว่า
เราเอาเที่ยงวันมาคั่นกลางเจ้าสองตัวนี้ 
a.m. คือ ก่อนเที่ยงวัน
p.m. คือ หลังเที่ยงวัน
ดังนั้น 8:30 p.m. คือ สองทุ่มครึ่งนั่นเองค่ะ 

  • break fast กรุณาอย่าง "งง" ว่าพิมพ์ผิดหรือเปล่า ขออธิบายแยกก่อนนะคะว่า
break เป็นคำกริยา มีความหมายว่า หยุด พัก แตก
fast หากเป็นคำคุณศัพท์จะหมายถึง เร็ว แต่ในที่นี้ เป็นคำนามค่ะ หมายถึง การอดอาหาร
ดังนั้นในที่นี้ break fast จึงหมายถึง ละศีลอด นั่นเองค่ะ  

  • ไม่น่าแปลกใจเลยที่ ‘breakfast’ ที่หมายถึง ‘อาหารเช้า’ มีความหมายโดยนัยถึง การละหรือหยุดจากภาวะอดอาหารตอนกลางคืนเมื่อเรานอนหลับนั่นเองค่ะ  
  • นอกจาก the States แล้ว อเมริกายังมีสมญานามที่ว่า ‘melting pot’ ที่สื่อถึงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมที่ประกอบไปด้วยผู้คนที่มาจากหลากหลายชาติพันธุ์และวัฒนธรรมอีกด้วยค่ะ
  • Dates ไม่ได้หมายถึง การนัดหมาย การลงวันที่ หรือคู่เดทเท่านั้น แต่ยังหมายถึง ผลอินทผลัมได้อีกด้วย
  • ส่วนโรคคิดถึงบ้าน เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษเก๋ๆ ว่า ‘homesick’ ค่ะ
  • เรื่องราวการผจญภัยในต่างแดนของ ‘ตีกุฮ์ บือแน’ ยังไม่จบเพียงแค่นี้หรอกนะคะ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีโอกาสได้หยิบยกมาเล่าในครั้งต่อๆไปค่ะ 

STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน


Wednesday, October 10, 2012

WHAT’S UP?  : เฮ้ย...ว่าไง?
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด







1

“A STRONG GIRL IS A SOMEONE
WHO CAN CRY THEMSELVES TO SLEEP AT NIGHT
AND WAKE UP WITH A SMILE ON THEIR FACE”
Anonymous

ผู้หญิงที่เข้มแข็ง
คือ คนที่แอบร้องไห้กับตัวเองก่อนหลับตาลงยามค่ำคืน
แล้วตื่นเช้ามาพร้อมกับรอยยิ้มเปื้อนใบหน้า”
นิรนาม 



           สายตาของฉันเจอกับประโยคภาษาอังกฤษสะดุดตาทะลุหัวใจประโยคนี้จากเพจหนึ่งให้เครือข่ายโลกออนไลน์ชื่อดังอย่างเฟสบุ๊ค และไม่รู้ว่าจะเรียกว่าบังเอิญหรือประจวบเหมาะดีที่ก่อนหน้านั้นเพียงสี่ห้าวัน กระแสความโด่งดังของคุณกิ๊ก - วารุณี สุวรรณรักษ์ ชาวจังหวัดยะลา หญิงสาวที่เธอบอกว่ามีความรู้เพียงระดับชั้นประถมหก นำเพลงที่มีเนื้อหากระแทกอารมณ์อย่าง What’s up? ไปร้องเพื่อเข้าร่วมแข่งขันในรายการ Thailand’s Got Talent
            นับตั้งแต่ฉันชมคลิปวิดีโอของเธอผ่านยูทูปและทราบว่าเธอเป็นชาวจังหวัดยะลา ฉันถึงกับหมายมั่นปั้นมือที่จะนำเอาเรื่องราวของเธอมาเล่าผ่านตัวอักษรในคอลัมน์นี้เลยทีเดียว 

2
            เชื่อแน่ว่า ผู้ชมรายการ Thailand's Got Talent รอบออดิชัน ที่ออกอากาศไปในสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อเห็นโฉมหน้าของผู้เข้าร่วมแข่งขันจากจังหวัดปลายด้ามขวานอย่างคุณกิ๊ก คงมีจำนวนไม่น้อยที่แอบเผลอคิดไปว่าภาพลักษณ์อย่างคุณกิ๊ก คงจะมาร้องเพลงเพื่อชีวิตหรือเพลงหมอลำอะไรเทือกนั้นเป็นแน่ ทว่าหญิงสาวคนนี้กลับนำบทเพลงสุดคลาสสิคอย่าง What's up? ของวง 4 non blondes มาร้องด้วยเสียงแหบหน่อยๆ ได้อย่างทรงพลัง ยามเธอถ่ายทอดบทเพลงผ่านห้วงอารมณ์ความรู้สึกที่อัดอั้น ยิ่งส่งให้บทเพลงนี้ไพเราะจับใจคนดู จนคณะกรรมการทั้งสามท่านและผู้คนที่ดูอยู่ในห้องส่งต่างนิ่งอึ้งและพร้อมใจกันลุกขึ้นปรบมือให้กับเธอ 
           หลังจากรายการออกอากาศไม่กี่วัน ยอดการเข้าชมคลิปวิดีโอของรายการในยูทูปก็พุ่งสูงเหยียบล้าน หลายรายการทางโทรทัศน์เทเวลาให้เธอไปหลายนาที ไม่นับรวมลิงค์ที่ส่งต่อกันผ่านโลกออนไลน์ ในฐานะผู้บริโภคสื่อ ฉันเปิดคลิปวิดีโอดังกล่าวฟังทุกเช้าก่อนออกจากห้องอยู่หลายวัน ราวกับเป็นการปลุกพลังที่หดหายให้ฟื้นคืน พร้อมเผชิญหน้ากับเรื่องราวใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตเก่า หรือแม้แต่เรื่องราวเก่าๆ ในวันใหม่ คุณกิ๊ก ผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆ จบการศึกษาเพียงชั้นประถมหกและต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่กำลังท้อไปอีกคนหนึ่ง และแน่นอนว่าชื่อของกิ๊ก - วารุณี สุวรรณรักษ์ ก็กลายเป็นชื่อที่ใครหลายๆ คนต่างค้นหาและย่อมหนีไม่พ้นการขุดคุ้ย
            คุณกิ๊กเป็นหญิงสาวชาวยะลา อายุ 32 ปี เธอเป็นลูกสาวคนโตของครอบครัวที่ฐานะยากจน คุณพ่อคุณแม่ของเธอเป็นกรรมกรประกอบอาชีพก่อสร้าง เลยส่งให้เธอเรียนได้เพียงแค่ชั้นประถมหก ส่วนเธอก็ต้องยอมเสียสละ และหาเงินเพื่อให้น้องทั้ง 4 คนของเธอได้เรียนต่อ ตอนนี้ เมื่อมีโอกาส เธอก็ได้ลงเรียนการศึกษานอกโรงเรียนเพื่อจะได้คว้าปริญญาอย่างที่เคยฝันไว้ ปัจจุบัน เธอประกอบอาชีพเป็นนักร้อง รับจ้างร้องเพลงทั่วไป เคยร้องเพลงตามสถานบันเทิงต่างๆทั้งใน อ.สุไหงโก-ลก อ.หาดใหญ่ และปัจจุบันใน จ.ภูเก็ต สำหรับเหตุผลที่เธอมาสมัครรายการดังกล่าว เธอหวังว่าถ้าหากเธอได้รับรางวัลชนะเลิศ ก็จะนำเงินล้านไปสร้างบ้านให้พ่อแม่และลูกสาวอยู่
            เธอแจงทุกข้อครหาในรายการเจาะข่าวเด่นว่า เธอเคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งกับชาวมาเลเซีย มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ปัจจุบันคบหากับแฟนหนุ่มชาวเดนมาร์ก จากภาพถ่ายที่เธอนอนเล่นอยู่บนหิมะนั้น ทำให้เกิดกระแสว่าเธอจนจริงหรือเปล่า เธอออกมายอมรับว่าก่อนหน้านั้นเคยไปเที่ยวยุโรปมาจริงๆ

3
            โดยส่วนตัวแล้ว ฉันชื่นชมสาวสู้ชีวิตคนนี้อยู่ไม่หยอก และไม่ว่าเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังของเธอจะเป็นอย่างไร ฉันรู้สึกได้ว่าก้อนสะอื้นที่จุกขึ้นมาและหยดน้ำตาที่ร่วงหล่นตอนเธอพูดถึงครอบครัว มันออกมาจากก้นบึ้งของความรู้สึกอย่างไม่ต้องสงสัย
                                          
And so I cry sometimes                                          บางครั้งฉันก็แอบร้องไห้

When I'm lying in bed                                             นอนปล่อยน้ำตาให้เปียกปอนบนหมอน
Just to get it all out
                                                 เพียงแค่อยากให้อะไรๆ
What's in my head                                          
        ที่มันวุ่นวนอยู่ในหัวพร่างพรูออกมาให้หมด
And I, I am feeling a little peculiar.

                          แล้วก็รู้สึกแปลกๆแปร่งๆเหมือนกันแฮะ
And so I wake in the morning
                                 แล้วฉันก็ตื่นมาตอนเช้า
And I step outside                                          
         ก้าวออกไปข้างนอก
And I take a deep breath                                         
สูดหายใจลึกๆ
and I get real high                                         
           เหมือนกับจะให้หลุดลอยไปจากตรงนี้
And I scream from the top of my lungs
                   ตะโกนก้องให้สุดลมปอด
What's going on?                                                    เฮ้ย อะไรกันเนี่ย!

            บางคนอาจชอบเพลงนี้ตรงที่มีคำว่า เฮ้! ให้ตะโกนได้สุดเสียง แต่สำหรับฉัน สองท่อนข้างบนนั่นหละ ที่เป็นหมัดเด็ดหมัดใหญ่ที่ต่อยใจฉันไปเต็มๆ
          ชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เช่นเดียวกันกับดัชนีชีวิตที่มีขึ้นมีลง การมีกำลังใจก้าวฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆที่ถาโถมเข้ามาถือเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อเรายิ้มในวันที่มีความสุข ก็อย่าลืมเตรียมพร้อมรับมือกับความทุกข์ และยิ้มให้ได้ในวันที่มีความทุกข์  แน่นอนที่สุดว่า การปล่อยตัวเองให้ร้องไห้ มันยากน้อยการที่เราต้องฝืนยิ้มสู้ในวันที่เราอยากร้องไห้เป็นไหนๆ 
            อีกสิ่งหนึ่งที่อยากชื่นชมเธอจากใจจริง และไม่อาจมองข้ามจุดนี้ไปได้ คือ ทักษะการร้องเพลงและสำเนียงภาษาอังกฤษ ต่อให้คนที่พูดภาษาอังกฤษได้และต่อให้เป็นคนที่เรียนร้องเพลงมา ก็คงมีคนจำนวนน้อยนักที่ร้องเพลงนี้ได้เพราะเท่าเธอ แน่นอนว่าเหตุผลคงไม่ใช่แค่การร้องถูกท่วงทำนองและทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษเพียงเท่านั้น สาเหตุหลักอาจเป็นอารมณ์และเรื่องราวที่ทับถมในใจของเธอต่างหากที่ส่งให้เพลงนี้ดูมีพลังจนทำให้ผู้ชมในห้องส่งต่างลุกขึ้นมาปรบมือให้เธอ ฉันไม่รู้ว่าในชีวิตนี้เธอร้องเพลงหรือร้องไห้บ่อยกว่ากัน แต่การที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความรู้แค่ระดับประถมหก พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ไม่เคยเรียนร้องเพลง อาศัยแค่การฟังแล้วจดจำจนสามารถร้องเพลงสุดคลาสสิคอย่าง What's up?  ได้ขนาดนี้ ถ้าไม่เรียกว่า Talent ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรแล้ว


           

WHAT’S UP?  : เฮ้ย...ว่าไง?
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด

            หลังจากดำดิ่งกับความเครียดกันมาหลายขุมแล้ว วันนี้ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัดของเรา ขอนำเสนอคำสแลงในภาษาอังกฤษที่เราได้ยินกันบ่อยๆค่ะ

            Nick:     What’s up?
            Nack:     Not much, just chillin'.

            What's up? ในที่นี้แปลว่า ทำอะไรอยู่ คำตอบที่สั้นๆง่ายๆคือ “Not much, just chillin'.” ซึ่งแปลว่า ไม่ได้ทำอะไรมากมาย แค่อยู่ชิลๆสบายๆ เราตอบได้เหมือนกันว่า “Not much, just...”แล้วบอกสิ่งที่ทำอยู่ เช่น "Not much, just watching TV." ก็คือ ไม่ได้ทำอะไรมากมายแค่ดูทีวีเฉยๆ ถ้าตอบแบบนี้ฝรั่งจะประทับใจแน่ๆค่ะ นอกจากนี้ ความหมายของ “What’s up?” ยังดิ้นได้ตามกรณีค่ะ เช่นว่า
  • เวลาเพื่อนทำตัวแปลกๆก็ใช้ “What’s up?”เพื่อถามเพื่อนว่าเป็นอะไรรึเปล่าก็ได้
  • เวลาเราอยากรู้ว่าเพื่อนของเรามีอะไรจะบอกเราหรือเปล่าก็ใช้ “What’s up?”เพื่อจะถามว่า
  • “แกมีอะไรอ๊ะป่าวเนี่ย” ได้เหมือนกันค่ะ
  • เพื่อนโทรมาแล้วเรารับสายโดยพูดว่า “What’s up?” ในกรณีนี้หมายถึง “ว่าไง” นั่นเองค่ะ 
  • หลัง “What’s up?” อาจเติมคำว่า dude/man/girl ตามหลัง กลายเป็น ว่าไงเพื่อน/ว่าไงแก/ว่าไงพวก/ไงจ๊ะสาวๆ 
  • What's up man? ส่วนใหญ่ใช้กับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายอย่างเดียวค่ะ 
  • ส่วน What’s up dude? ใช้ได้ กับทั้งผู้ชาย ผู้หญิง ผู้หญิงประเภทที่สอง และผู้ชายประเภทที่สองก็ได้ค่ะ พูดง่ายคือใช้กับใครก็ได้ที่เราสนิทด้วยไม่ว่าเค้าเป็นเพศไหนก็ช่าง 
  • ส่วน “What's up girl?” ก็ใช้กับผู้หญิงอย่างเดียวค่ะ
            เคยเห็นเพื่อนชาวต่างชาติโพสต์ในทวิตเตอร์ แบบสั้นๆตามประสาเด็กแนวว่า Sup? ความหมายไม่ต่างจาก What’s up? เลยแม้แต่น้อยค่ะ เลือกใช้ให้ถูกที่ถูกเวลาด้วยนะคะ อย่าเผลอเอาไปใช้กับผู้ใหญ่หรือเวลาที่เราคุยกันแบบทางการเข้าเชียว
  • ขอขอบคุณข้อมูลของคุณกิ๊กจากกระปุกดอทคอม และรายการเจาะข่าวเด่น ทางช่องสาม
  • ขอบคุณสาระความรู้ดีๆ ของสำนวน “What’s up?” จากเพจของอาจารย์อดัมค่ะ
  • ส่วนบทแปลภาษาอังกฤษของทั้งคำคมและเนื้อเพลง ตีกูฮ์ บือแนแปลด้วยมันสมองน้อยๆเอาเองค่ะ อาจไม่ตรงกับคำศัพท์ในต้นฉบับแบบเป๊ะๆ แต่เน้นการคงความหมายและอารมณ์ของข้อความค่ะ หากมีบางตอนดูทะแม่งๆไปในสายตาผู้เชี่ยวชาญทางภาษาก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ และขอน้อมรับคำติชมในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ค่ะ
STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน

Tuesday, October 9, 2012

RESPONSIBILITY : รับผิด – รับชอบ
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด





 1
               อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ร่างเล็ก ผมฟู หนวดเป็นปื้น หน้าตาใจบุญและอารมณ์ดีผู้นี้เป็นเจ้าของทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษ (Special Theory of Relativity) ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีในรูปของสมการ E = mc2 อันลือลั่น สมการดังกล่าวส่งผลให้ไอสไตน์ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ จากสถาบันวิชาการของสวีเดน ในปี 1921
               นิตยสารไทม์ยกย่องเขาเป็น “บุคคลสำคัญแห่งศตวรรษ” และสำหรับฉัน เขาถือเป็นอาร์ตตัวพ่อคนหนึ่งของวงการวิทยาศาสตร์ นั่นคงเพราะกาลครั้งหนึ่งที่ไม่นานเกินค้นคว้า ฉันค้นพบคำกล่าวที่ไอน์สไตน์อธิบายถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพแบบง่าย ๆ ไว้ว่า



  
เมื่อท่านนั่งอยู่กับสาวสวยน่ารักๆคนหนึ่งในเวลา 1 ชั่วโมง

ท่านจะคิดว่าเวลาผ่านไปเพียง 1 นาที 

แต่ถ้าท่านนั่งลงบนเตาไฟร้อนๆเพียง 1 นาที
ท่านจะคิดว่าเป็น 1 ชั่วโมง
นั่นแหละคือสัมพันธภาพ 
 
Sit with a pretty girl for an hour,
and it seems like a minute.
…
Put your hand on a hot stove for a minute,
and it seems like an hour.
That's relativity.

2
               ปีเดียวกันกับที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศ “พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ.124” ให้ลูกทาสทุกคนเป็นไทเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2448 ในอีกซีกโลกหนึ่ง ไอสไตน์ตีพิมพ์การค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพ
ตามสมการ E = mc2 สมการที่ประกอบด้วยสัญลักษณ์แทนค่าเพียงไม่ถึงห้าตัว พร้อมกับเปล่งถ้อยวจีมีดีกรีความ‘ขมขัน’ ที่ว่า

“If my theory of relativity is proven successful, Germany will claim me as a German and France will declare I am a citizen of the world. Should my theory prove untrue, France will say I am a German and Germany will declare I am a Jew.” 

“ถ้าทฤษฎีสัมพัทธภาพของผมได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง เยอรมันจะบอกว่าผมเป็นชาวเยอรมัน ส่วนฝรั่งเศสจะประกาศว่าผมเป็นประชากรของโลก แต่ถ้ามันเป็นทฤษฎีที่ผิด ฝรั่งเศสจะบอกว่าผมเป็นชาวเยอรมัน ส่วนเยอรมันจะประกาศว่าผมเป็นยิว”

               ขอย้ำอีกครั้งด้วยความรู้สึกส่วนตัวว่า วาทะเด็ดข้างต้นนี้อาจถือได้ว่าเป็นความ‘ขมขัน’เสียมากกว่าความ‘ขบขัน’ เหตุที่แฝงความกล้ำกลืนที่ซ่อนอยู่ลึกๆในใจของไอน์สไตน์ในฐานะที่เขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวยิว เขาใช้ชีวิตหลายสัญชาติไปกับการคิดค้นทฤษฎีต่างๆระหว่างการระหกระเหเร่ร่อนทั้งในยุโรปจนถึงอเมริกา โดยกำเนิดไอสไตน์เป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิว เกิดที่เมืองอูล์ม ประเทศเยอรมนี ได้สัญชาติสวิสเมื่ออายุ 22 ปี สาเหตุเพราะเขามีเชื้อสายยิว จึงต้องอพยพไปอยู่อเมริกาหลังจากกองทัพนาซีของฮิตเลอร์ยึดอำนาจในเบอร์ลินเมื่อเดือนมกราคม ปี 1933 ต่อมาจึงได้สัญชาติอเมริกันในที่สุด
               ในปี 1936 ไอสไตน์ส่ง‘จดหมายจากมโนธรรม’ถึงประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รูลเวลต์ แห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อเตือนถึงการสร้างระเบิดอะตอมอันทรงอนุภาพทำลายล้างของนักฟิสิกส์ชาวเยอรมันในอีกไม่ช้านี้ เขาเขียนไว้ว่า “หากระเบิดชนิดนี้เพียงลูกเดียวเกิดการระเบิดขณะขนถ่ายที่ท่าเรือ มันก็จะทำลายท่าเรือจนสิ้นซาก รวมทั้งแถบปริมณฑลด้วย” ต่อมา ในปี 1941 หลังจากญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ในฮาวายได้ไม่นาน สหรัฐอเมริกาก็เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง 
               ไอน์สไตน์เพียงร่วมยื่นจดหมายเตือนครั้งนั้น แต่เขามิได้มีส่วนในการพัฒนาการสร้างระเบิดอะตอมแต่อย่างใด เมื่อมีการทดลองระเบิดอะตอมเป็นผลสำเร็จในเดือนกรกฎาคม ปี 1945 เพียงหนึ่งเดือนต่อมาก็มีการทิ้งระเบิดอะตอมที่เมืองฮิโรชิมาและเมืองนางาซากิของญี่ปุ่น สร้างความเสียหายขั้นรุนแรงต่อประชาชนผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จำนวนมหาศาล ทั้งๆที่มีจุดประสงค์เพียงเพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นยอมแพ้ เมื่อไอน์สไตน์รู้ข่าวการระเบิด เขาถึงกับเอามือกุมศีรษะ และอุทานอย่างปวดร้าวว่า “โธ่! ไม่น่าเลย”
               สมการ E = mc2 (E คือพลังงาน, m คือมวล, c คือความเร็วของแสง) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามวลขนาดเล็ก สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานมหาศาลได้ สมการนี้นำไปสู่การสร้างระเบิดอะตอมซึ่งเป็นเรื่องที่ทิ่มแทงจิตสำนึกของไอน์สไตน์มาตลอด ยี่สิบปีสุดท้ายของชีวิต
3
               นับจากวันที่นักฟิสิกส์ท่านนี้ประกาศทฤษฎีดังกล่าว ในปี 1905 วันเวลาผันผ่านไปถึงหนึ่งศตวรรษกับอีกเจ็ดปี ทว่ากลับมีคนเพียงจำนวนน้อยนักที่เข้าใจทฤษฎีปฏิวัติโลกดังกล่าวอย่างถ่องแท้ ทั้งในด้านความรู้และด้านคุณธรรม
               หากลองเอาคำว่า ‘รับผิดชอบ’ มาลองแยกดูเล่นๆออกเป็นสองคำ คือ ‘รับผิด’ กับ ‘รับชอบ’ ความหมายของมันดูไม่เล่นเสียแล้ว เพราะเมื่อนำมาใคร่ครวญอย่างจริงจังกลับพบความจริงอันน่าสลดใจที่ว่า เราต่างพบเจอกับความไม่รับผิดแต่รับชอบของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้เสียจนคุ้นชิน กระทั่งเราเองก็ยังตกอยู่ในวังวนโดยไม่รู้ตัว
               ทฤษฎีสัมพันธภาพอันลือลั่นที่เรายกย่องให้ไอสไตน์เป็นบุคคลสำคัญของโลก ป้ายไวนิลผืนใหญ่ที่ประกาศว่าบุคลากรในสถาบันได้รับรางวัลระดับชาติ นักเรียนที่อยู่ในสถานที่อโคจรในชุดนักเรียนจะถูกประณามอย่างรุนแรงเพราะทำให้โรงเรียนเสียหาย ทางโรงเรียนอาจทำทัณฑ์บนและนักเรียนอาจถึงขั้นถูกไล่ออกเพราะนำความอับอายมาสู่โรงเรียน สุดท้ายเราไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหา นักเรียนคนนั้นอาจกลายเป็นเด็กติดยา ทั้งถูกตราหน้าว่าเป็นขยะสังคมในที่สุด
               และสำหรับใครบางคนแล้ว ไอสไตน์อาจตกอยู่ในข้อหาฆาตกรระดับโลกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง น่า‘ขมขัน’ดีไหม

RESPONSIBILITY : รับผิด – รับชอบ
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด

“If my theory of relativity is proven successful, Germany will claim me as a German and France will declare I am a citizen of the world. 
Should my theory prove untrue, France will say I am a German 
and Germany will declare I am a Jew.”

1         
               ขออธิบายถึงการเรียกแทนสรรพนามในภาษาอังกฤษที่มักทำเอาผู้ใช้ชาวไทยอย่างเราเป็นงงอยู่เสมอ เนื่องจากโดยธรรมชาติของภาษาไทย ไม่ว่าสรรพนามใดสรรพนามหนึ่งจะอยู่ตรงไหนในประโยคก็ตามก็มักจะไม่เปลี่ยนรูป แต่สำหรับภาษาอังกฤษแล้ว การใช้สรรพนามจะต่างกันตามหน้าที่ของสรรพนามตัวนั้นในวลีหรือในประโยคค่ะ ขอแสดงให้เห็นภาพชัดๆดังนี้ค่ะ
              
เพิ่มเติมไปเลยค่ะ กับสรรพนามอื่นๆในภาษาอังกฤษตามหน้าที่ต่างๆ
แนะนำให้หาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความกระจ่างและนำไปใช้อย่างถูกต้องบ่อยๆเพื่อความชำนาญค่ะ

2          
               Germany คือ ประเทศเยอรมัน และ German คือ ชาวเยอรมันนะคะ ในภาษาอังกฤษ การเปลี่ยนรูปแบบคำเกี่ยวกับประเทศและเชื้อชาติ (Country – Nationality) ดังกล่าวไม่ได้มีกฏตายตัว อย่างเช่นว่า

               Thailand = ประเทศไทย                       Thai = ชาวไทย  
               China = ประเทศจีน                             Chinese = ชาวจีน
               France = ประเทศฝรั่งเศส                     French = ชาวฝรั่งเศส
 
               อันนี้ต้องใช้ความคุ้นชินและพบเจอบริบททางภาษาอยู่บ่อยๆเท่านั้นค่ะ
         
               อยากแอบกระซิบบอกว่า แรงบันดาลใจในการเขียนคอลัมน์คิดระหว่างบรรทัดคราวนี้ เป็นควันหลงจากผลการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2012 ผู้ครองมงกุฏในปีนี้คือสาวงามจากเมืองกระบี่ที่เป็นทั้งรุ่นน้องจังหวัดและรุ่นน้องโรงเรียนเก่าสมัยมัธยม พอแอบภูมิใจอยู่ลึกๆว่าเป็นคนกระบี่เหมือนกัน (แม้จะมีความงามนอกองศาจากเขาก็ตาม) เลยรู้สึกว่า เอ...เราคงจะเป็นพวก‘รับชอบ’เหมือนกันนะเนี่ย


STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน

Wednesday, October 3, 2012


MAKE UP : ใครๆเขาก็แต่งกัน 
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด









1

ต้นไม้ต้นนั้น
สวย
เหมือนผู้หญิงไม่แต่งหน้า.

     Ref. นิ้วกลม 







2
               ฉันมักจะออกไปข้างนอกด้วยหนังหน้าเดียวกับที่ออกจากห้องน้ำ นั่นคือ หน้าตอนออกจากห้องน้ำเวลาอาบน้ำเสร็จเป็นแบบไหน หน้าตาเวลาสตาร์ทมอเตอร์ไซค์บึ่งออกไปปากซอยก็จะเป็นแบบนั้น
               ฉันโคตรเห็นด้วยว่า หน้าตาไร้เมคอัพที่มีเนี่ย สบายดีที่สุดแล้ว จริงๆแล้ว ‘สบายดี’ ไม่ได้มีมีความหมายเดียวกับ ‘สวยดี’ หรอก แต่ทุกครั้งที่ต้องออกงานสังคมหรืองานอีเว้นท์ (เอ่อ...งานอีเว้นท์ ฟังดูจะเป็นซูเปอร์สตาร์ไปหรือเปล่า ไม่รู้เหมือนกัน) แล้วต้องแต่งตัวแต่งหน้าเพื่อให้เกียรติสถานที่และเจ้าภาพงานทีไร หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา แล้วเรากลับมามองตัวเองที่หน้ากระจก ภาพก่อนล้างเครื่องสำอางค์และหลังล้างเครื่องสำอางค์ออกแล้ว ภาพหลังจะโดนใจตัวเองมากกว่า
               อันนี้ไม่ได้มั่นใจในหน้าตาตัวเองมากมาย เพราะคนอื่นอาจต้องปวดร้าวเมื่อเห็นหน้าตาสดๆของฉันก็ได้ ด้วยความที่เพื่อนผองและคนรอบข้างชินกับหน้าตาสดๆของฉันนี่แหละ เวลาไปงานจำพวกนี้ ซึ่งอาจจะมีแค่ครั้งหรือสองครั้งในรอบปีแล้วฉันจัดเต็มไป บางคนที่เพิ่งมาเจอตอนที่เราแต่งหน้าเป็นครั้งแรก จะอึ้งหน่อยๆ แล้วบอกว่า “เฮ้ย! แกมีอุปกรณ์ครบขนาดนี้เลยเหรอ” ความหมายระหว่างบรรทัดก็คือ ทำไมไม่ยอมแต่งตัวแต่งหน้าบ้างเนี่ย จะทำตัวโทรมไปไหน บางคนก็คิดว่าฉันคงไม่ประสีประสาเรื่องการแต่งหน้า ก็จะถามว่า “แต่งหน้าที่ร้านไหนหรอคะ” ถึงตอนนี้ฉันจะอมยิ้ม ทำหน้าสวยๆเนียนๆแบบเวลาหนูหิ่นเก๊ก แล้วตอบไปว่า “อ๋อ แต่งเองอ่ะค่ะ”
               ในทางกลับกัน เวลาไปทำโครงการอะไรต่างๆ แล้วต้องอยู่ในมาดดูดี อย่างเช่นต้องเป็นพิธีกรหรืออะไรเทือกนี้ แล้วฉันได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ (พี่ใหม่ น้องใหม่ อาแบใหม่ อาเด๊ะใหม่ ...) ฉันจะแอบกระซิบบอกพวกเขาว่า “เจอกันข้างนอกก็ทักกันด้วยละกันนะคะ ...อาจจะดูโทรมๆหน่อย ก็อย่าตกใจไปนะ” พูดแล้ว ทำหน้ายิ้มๆอีกที
               อาแบร้านน้ำชาที่สนิทสนมกันมักจะแซวว่า
           “…ไม่เคยเห็นเราสวมผ้าคลุมผมสีอื่น นอกจากสีดำ แนะนำนะว่า ทำไมไม่ลองสวมผ้าคลุมสีอ่อนๆ หรือลายสวยๆดูบ้างล่ะ แบว่าคงจะน่ารักขึ้นกว่านี้ แว่นที่สวมน่ะนะ ก็ลองถอดออกบ้างสิ หรือไปเปลี่ยนให้กรอบมันเล็กๆ น่ารักๆกว่านี้หน่อย จะทำตัวดูแก่ไปไหน อ้อ...อีกอย่างนึงนะ ตั้งแต่มาทานร้านแบเนี่ย ไม่เคยเห็นเราแต่งหน้าทาแป้งเลยนะ ทำไมไม่ลองแต่งหน้าอ่อนๆดูบ้าง เผื่อจะได้มีหนุ่มๆเข้ามาบ้างไง...”
               เอ่อ...ที่อาแบพูดมาเนี่ย อาแบไม่ได้ได้พูดม้วนเดียวจบ รอบเดียวยาวเหยียดแบบนี้หรอก แต่ถ้าจะให้เล่าเป็นบทสนทนา เกรงว่าจะสังเวชตัวเองมากกว่านี้ จำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกตอนที่มีผู้ชายมาช่วยเป็นคอมเมนต์เตเตอร์เรื่องความสวยความงามและคอยเป็นห่วงเป็นใยภาพลักษณ์ อีกทั้งช่วยกังวลถึงอนาคตชีวิตคู่ของเราแล้ว ฉันรู้สึกยังไง (ขอย้ำว่า อาแบเป็นผู้ชายเต็มร้อย แต่งงานมีครอบครัวแล้ว และไม่ได้เป็นชายสวยแต่อย่างใด) แต่ทว่ามันก็ไม่ได้ทำให้อะไรในตัวฉันดีขึ้นสักเท่าไหร่ ฉันก็ยังไปร้านน้ำชาของอาแบด้วยภาพลักษณ์เดิมๆ นึกแล้วน่าสงสารอาแบอยู่เหมือนกัน และเพื่อไม่ให้อาแบเป็นห่วงไปมากกว่านี้ (ว่าฉันแต่งตัวไม่เป็นและคงไม่แต่งตัวแน่ๆ) หลังจากกลับจากงานเลี้ยงส่งรุ่นน้องที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ฉันเลยแวะไปหาแกที่ร้านด้วยลุคใหม่ที่ทำให้ทั้งอาแบและเด็กเสิร์ฟในร้านอึ้งกิมกี่ อาแบดูท่าจะดีใจ แล้วมาบอกว่า “แบสังเกตนะ เห็นหนุ่มๆในร้านมองเราทุกโต๊ะเลย มีแววจะมีแฟนกะเค้าแล้วนะเนี่ย” โธ่! แบขา...ไม่ใช่แบคนเดียวนะคะ ที่ห่วงอนาคตชีวิตคู่ของหนู แต่หนูเองก็ห่วงอนาคตชีวิตคู่ของหนูเหมือนกันค่ะ
               แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ฉันเองก็แอบอดคิดคดในใจไม่ได้ว่า ถ้าถึงขั้นต้องแต่งสวยเพื่อให้หนุ่มๆที่มองเฉพาะหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกมาเมียงมองและจะได้มีฟงมีแฟนกับใครเขาแล้ว มันดูจะเป็นกระทำที่ไม่เข้าคอนเซปต์ฉันอยู่สักหน่อย

3
               ได้แต่แอบหวังอยู่ลึกๆว่า วันหนึ่งจะมีใครมาเห็นฉันเป็น ‘ต้นไม้ที่สวยเหมือนผู้หญิงไม่แต่งหน้า’ อย่างบทกวีที่พี่นิ้วกลมเขาว่าเอาไว้ 

MAKE UP : ใครๆเขาก็แต่งกั น
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด

“เอ่ออออ...หน้าหนูเวลาออกจากห้องน้ำเป็นแบบไหน ตอนออกไปข้างนอกก็เป็นแบบนั้นอ่ะค่ะ
หนูว่าหนูชอบหน้าเปลือยๆแบบไร้เครื่องสำอางค์แบบนี้แหละค่ะ โล่งดี”
“Ummm…I usually go out in the same face as when I finish my washing up.
I like my face in the raw - no makeup – freaking free.”

     as = เหมือน เท่ากัน
     washing up = เรียกแทน take a shower/ take a bath ได้แบบดูดี๊ดูดีในแบบที่ฝรั่งเค้าใช้กัน
     in the raw = ดิบๆ ไร้การแต่งเติม เป็นยังไงก้อเป็นอย่างงั้น
     แต่มีสำนวนที่ใช้กันอีกอัน คือ I sleep in the raw. ‘in the raw’ ในที่นี้ หมายถึง เปลือย หรือ นอนในชุดวันเกิด แบบไม่ใส่อะไรเลยนั่นเอง (Birthday suit = ชุดวันเกิด/เปลือย)
     freaking เป็นคำแสลง ที่ใช้กันบ่อยๆ ดูซอฟท์กว่า fucking นิดส์นึง แต่ความหมายก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ แปลตรงตัวหยาบคายมั่กม๊ากก แต่ในที่นี้ หมายถึง โคตร สุดๆ มากๆ อะไรประมาณนี้ คือ จะบอกว่า very มันยังไม่สะใจพอนั่นเอง ดังนั้น ‘freaking free’ จึงหมายถึง ‘สบายโคตรๆอ่าาา’ เหมือนกับที่เราๆ พูดกันติดปากว่า 'แม่ง' ดูไม่น่ารักเลยที่พูดคำนี้ออกไป แต่มันสื่อความหมายได้ถึงกึ๋นนั่นเอง
อย่างเพลง Billionaire ของพี่ Bruno Mars เขาว่าเอาไว้

I wanna be a billionaire, so fucking bad.

               ‘fucking’ ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง เรื่องอย่างว่า แต่กลับหมายถึง ‘โอ๊ยยยย!! ตรูอยากเกิดมาเป็นมหาเศรษฐีโคตรๆเลยเว้ยเฮ้ย!!!’ คือ อยากเป็นม๊ากมาก นั่นเอง
ขอปิดท้ายงามๆด้วยคมคิดคำคนที่ไปอ่านเจอในโลกออนไลน์

Girls fall in love with what they hear.
Boys fall in love with what they see.
That’s why girls wear make-up and boys lie.

ผู้หญิงตกหลุมรักสิ่งที่เธอได้ยิน 

ผู้ชายตกหลุมรักสิ่งที่เขาได้เห็น

นี่คือเหตุผลที่ผู้หญิงแต่งหน้าและผู้ชายโกหก

STORY BY: ตีกุฮ์ เบอแน