Saturday, August 31, 2013

LOVE STORY : ตำนานรัก
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด
  

1

     วันว่างวันหนึ่ง จู่ๆ ฉันก็นึกถึงเพลงหนึ่งที่ชอบฟังเมื่อปีก่อน บทเพลงธรรมดาๆ ที่มาพร้อมสไตล์การร้องเสียงกระท่อนกระแท่นเหมือนเสียงพูด ขับร้องโดยนักร้องหนุ่มมาดเซอร์ที่สาวๆกรี๊ด
     ‘ชิซูกะ’ คือเพลงนั้น เจ้าของเสียงร้องก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘เป้-อารักษ์’
     “สาเหตุที่ผมตั้งชื่อเพลงว่า ‘ชิซูกะ’ ก็เพราะว่าความรักของโนบิตะที่มีต่อชิซูกะสามารถสื่อสารให้กับคนหมู่มาก เข้าใจได้ เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าโนบิตะพยายามทำทุกอย่างโดยมีตัวแปรและแรงขับเคลื่อน ซึ่งก็คือความรักที่เขามีต่อชิซูกะและเธอเป็นรักเดียวของเขาตลอดกาล”

     
     เป้เปรียบเปรยถึงความรักที่ไม่ค่อยจริงใจ ฉาบฉวย มาเร็วไปเร็วของคนหนุ่มสาวสมัยนี้ผ่านเนื้อหาของเพลงได้อย่างน่ารัก และน่าคิด ผ่านบรรดาคู่รักในการ์ตูนอย่าง โนบิตะ-ชิซูกะ ในนวนิยายอย่าง โรมิโอ-จูเลียต พระราม-นางสีดา โกโบริ-อังศุมาลิน รวมถึงความรักของสัตว์ อย่างช่วงช่วง-หลินฮุ่ย กระทั่งความรักเดียวใจเดียวของนกเงือก ไม่เว้นแม้แต่สิ่งของที่มักจะอยู่กันเป็นคู่อย่าง แปรงสีฟัน-ยาสีฟัน
    ไม่แน่ใจว่า สาเหตุที่ทำให้อยู่เพลงนี้ผุดขึ้นมาในมโนความคิด เป็นเพราะกระแสประชาสัมพันธ์ของภาพยนตร์รักในตำนานเรื่องคู่กรรมหรือเปล่า
     เพราะโกโบริ-อังศุมาลิน คือหนึ่งคู่รักในตำนานที่ถูกกล่าวถึงในบทเพลง ‘ชิซูกะ’

2

     โกโบริ-อังศุมาลิน เป็นตัวละครเอกในนวนิยายแนวโศกนาฎกรรมและวีรคติ เรื่อง ‘คู่กรรม’ ประพันธ์โดยทมยันตี และเป็นบทนวนิยายที่ถูกนำไปทำเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แม้กระทั่งในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาก็ถึงกับมีคู่กรรมในเวอร์ชันละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ออกฉายพร้อมกัน ทำเอาคนดูเลือกไม่ถูกว่าจะดูเวอร์ชั่นไหน
    แม้จะยังไม่เคยอ่านตัวเล่มฉบับนวนิยาย ชมละคร หรือภาพยนตร์เรื่องคู่กรรมอย่างเต็มรูปแบบเลยสักครั้ง เพียงได้อ่านเรื่องย่อ ก็อดคิดไม่ได้ว่า นวนิยายเรื่องนี้ช่างจำลองแง่มุมของความรักในชีวิตจริงได้อย่างงดงาม น่าหลงไหล โดยมีความเศร้าเป็นสเน่ห์สำคัญ

“คุณมีเหตุผลของคุณ ผมมีหัวใจของผมก็พอแล้ว”

     ประโยคหมัดเด็ด กึ่งรักกึ่งตรมของนายทหารญี่ปุ่นหนุ่มที่เอ่ยกับหญิงสาวอันเป็นที่รัก แม้ลึกๆแล้ว อังศุมาลินเองก็รักโกโบริไม่ต่างกัน แต่ด้วยอคติที่มีต่อทหารญี่ปุ่น ที่มากล้ำกรายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ อังศุมาลินจึงปฏิเสธหัวใจรักของโกโบริไปอย่างไม่ใยดี

3

  • ในช่วงชีวิตหนึ่ง
  • บางที เราอาจต้องปฏิเสธรักของใครบางคน ไม่ใช่ไม่รัก แต่เพราะสมองยังไม่ยินยอมให้หัวใจแสดงความรัก
  • บางที เราอาจต้องแต่งงานกับคนที่เราไม่ได้เต็มใจที่จะรัก เพราะเหตุผลทางการเมือง ทางธุรกิจ หรือทางครอบครัว
  • บางที การบอกรักครั้งแรกและครั้งสุดท้าย อาจเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่คนรักจากเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ 
  • บางที ในวันที่คนรักจากเราไป ความรักอาจยังไม่จากเราไปไหน เพราะมันอยู่ที่นี่...ในหัวใจเราเอง
  • จะเป็นไปได้ไหม... ที่บางเปอร์เซ็นต์ของตำนานรักเรื่องหนึ่ง จะซุกตัวอยู่เงียบๆ ในเรื่องราวความรักของคุณ

LOVE STORY : ตำนานรัก
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด 

Love
  • They were slowly falling in love. พวกเขาตกหลุมรักกันอย่างช้าๆ เป็นไปได้มากที่คู่รักคู่นี้จะเป็นคนสมัยก่อน สังเกตได้จากความรักแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบร้อน ไม่ใช่แค่ พบ-จูบ-จับ-กินตับ แล้วก็จบ อย่างหนุ่มสาวสมัยนี้ และที่สำคัญ มีการใช้ past tense อย่าง were เพื่อโชว์ความเป็นอดีต เอ...หรือ ‘รักต้องการเวลา’ จะตกยุคไปแล้วจริงๆ
  • It was a love at first sight. มันเป็นรักแรกพบเลยเชียวนะ คือว่ารักไม่ต้องการเวลาน่ะครับ เข้าใจบ้างป่ะ
  • Are you in love? นี่เธอตกอยู่ในห้วงแห่งรักอยู่เรอะ เดินน่ะดูตาม้าตาเรือซะบ้าง เหยียบขี้หมามายังไม่รู้ตัวอีก ยิ้มเหม่ออยู่นั่น
Story
  • จริงๆแล้ว คำว่า Story ไม่ได้แปลตรงตัวว่า ‘ตำนาน’ หรอกนะคะ แปลง่ายๆ เพียง ‘เรื่องราว’ ใช้ได้แล้วค่ะ ถ้าจะแปลว่าตำนาน ก็ควรจะใช้คำว่า legend หรือ myth มากกว่า แต่สาเหตุที่เลือกใช้คำว่า story เพราะดูเข้ากับเรื่องราวความรักหลายเวอร์ชั่นที่ยกมาในบทความมากกว่านั่นเองค่ะ
  • นอกจาก story จะแปลว่าเรื่องราวแล้ว ยังแปลว่า ‘ชั้น’ ของบ้าน อาคาร หรือตึกได้อีกด้วยค่ะ อย่างเช่นว่า She dressed up like a ten-story building. แม่สาวคนนั้นแต่งตัวเวอร์อย่างกับตึกสิบชั้น ใครไม่สะดุดตา ขอจงไปพบจักษุแพทย์เหอะ
  • It’s a long story. เอาไว้ใช้เวลาไม่อยากเล่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้ใครฟัง เพราะมันสะกิดแผลใจชวนให้เจ็บปวดซะเหลือเกิน
  • ใครก็ตามที่ทำภารกิจแบบกู้โลก เราก็สามารถกล่าวถึงเขาได้ว่า The man was a living legend. ประมาณว่าตำนานมีชีวิตนั่นเองค่ะ เผื่อใครเอาไว้ชมแฟนหนุ่มที่ชกไอ้คนโรคจิตซะจนหน้าหงาย โทษฐานคิดสกปรกแอบแต๊ะอั๋งคุณ โอ๊ย! คุณช่างเป็นฮีโร่อะไรเยี่ยงนี้ อย่าเขินค่ะ ถ้าจะชมเค้าไปว่า Oh dear! You’re my super hero. I love you, my living legend. เพราะเชื่อว่า เค้าจะเกาหัวแกรกๆ แล้วก็เขินคุณแทน

STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน

YOUNG : เยาว์
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด
 
1

     ‘เวลาผ่านไปเร็ว เมื่อเราไม่ได้คิดถึงการมีอยู่ของมัน’ จำไม่ได้ว่าเคยอ่านประโยคนี้ที่ไหน เอ่อ... จำไม่ได้ด้วยว่า จำมาถูกไหม แหะๆ บางทีมีอารมณ์อยากขึ้นต้นคอลัมน์เก๋ๆ ฉันก็ล้มไม่เป็นท่า ความจำเริ่มไม่ดี สมองเริ่มเลอะเลือน อาจเป็นสัญญาณของความเยาว์วัยที่เริ่มเลือนหาย
     โอม...จงกลับมาเถิด ฉันว่าตัวเองชักเพ้อหนักมากเกินไปแล้ว
     คงเพราะปรากฏการณ์เมื่อสองสามเดือนก่อนที่ทำให้ฉันเป็นได้ถึงขนาดนี้  
    ฉันกับเพื่อนไปนั่งทานอาหารและขนมนมเนยตามร้านรวงริมถนนตามปกติ เมื่อถึงเวลาต้องแยกย้าย ฉันเรียกพนักงานเสิร์ฟมาคิดเงิน “พี่คะ...เก็บตังค์ด้วยค่ะ” สาวน้อยนางนั้นหันขวับมา ทำแววตาเชือดเฉือนประหนึ่งฉันไปเหยียบหัวแม่เท้าเธอเข้า

    
    
      เอ่อ...ฉันคงพูดอะไรสักอย่างผิดไป ฉันจะจำไว้ คราวหน้า ฉันจะพูดใหม่ว่า “น้องคะ...เก็บตังค์ด้วยค่ะ”
    เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เมื่อเราไม่ได้คิดถึงการมีอยู่ของมัน เมื่อก่อน ฉันยังเป็นเด็กมัธยมกะโปโล เป็นเฟรชชี่ในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นน้องเล็กในกลุ่มเพื่อนผอง หันกลับมามองตัวเอง มาส่องกระจกอีกที ฉันมีแว่นตากรอบกระสวมอยู่ บดบังแววตาเริ่มกร้านโลกที่เคยไร้เดียงสาคู่นั้น  แถมแอบมีรอยย่นเล็กๆ ตรงหางตาด้วย

2
     โจชามี กิบส์:         แจ๊ค ขอถามหน่อยเถอะ ท่านได้ถ้วยเงิน น้ำศักดิ์สิทธิ์ น้ำตานางเงือก 
                                  ท่านจะมีชีวิต อมตะก็ได้...? 
     แจ็ค สแปร์โรว์:     น้ำพุจะทดสอบเรา...กิบส์ ข้าว่าถ้าเราไม่รู้เวลาตายจะสนุกกว่า
                                  ทุกนาทีในชีวิต เราอยู่กับปริศนาซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด 
                                  ใครจะพูดล่ะว่า ข้าไม่มีชีวิตอมตะ
                                  ข้าค้นพบน้ำพุแห่งความเยาว์วัย 
                                  ข้าไม่เรื่องมากหรอกกิบส์ สำหรับข้า มันคือชีวิตโจรสลัด เข้าใจ๊? 

     ไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียน เป็นภาพยนตร์ชุดแนวผจญภัย ผู้ใหญ่บางคนอาจคิดว่ามันเป็นหนังหลอกเด็ก ตอนที่ออกฉายล่าสุดเป็นตอนที่สี่ มีชื่อตอนว่า ‘ผจญภัยล่าสายน้ำอมฤตสุดขอบโลก’ อันเป็นเรื่องราวของการตามหาน้ำพุแห่งวัยเยาว์ในตำนาน มีส่วนผสมของมนต์ดำวูดู ซอมบี้ ศาสตราจารย์แขนเดียว นางเงือก และบรรดาผู้คนในยุคโบราณที่เคยมีชีวิตอยู่จริง เช่น Juan Ponce de Leon นักสำรวจชาวสเปน และ Blackbeard โจรสลัดเคราดำที่น่าสะพรึงกลัว
     ใครนึกถึงหนังเรื่องนี้ไม่ออกเพราะชื่อภาษาอังกฤษ ขอให้นึกถึงกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ ตัวเอกของเรื่องผู้กลับกลอก ท่าทางเพี้ยนๆค่อยไปทางกระแดะนิดๆ ดูเหมือนเอาสาระไม่ได้ หลบหลีกและเอาตัวรอดได้เสมอ เก่งด้วยวาจามากกว่าการท้าชนด้วยการต่อสู้ แถมยังมีสมบัติส่วนตัวแสนพิศดารอย่างเข็มทิศที่จะชี้ไปในทิศทางที่เขาต้องการเดินทางไปเสมอ
     ความอมตะไม่แก่ไม่ตายและมีวัยเยาว์ไปชั่วนานกัลปาวสาน เป็นหนึ่งในความปรารถนาที่คงอยู่คู่โลกเรามาพร้อมกับการมีอยู่ของมนุษยชาติ
     นวัตกรรมเสริมความงามอย่างโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ การทำศัลยกรรมพลาสติก หรือแม้กระทั่งเครื่องประทินผิวปกปิดริ้วรอยแห่งวัย ต่างถูกผลิตและคิดค้นมาเพื่อเติมเต็มความปรารถนาแห่งวัยเยาว์และความเต่งตึงงดงามทางรูปกายของมนุษย์
     เซลล์ต้นกำเนิด หรือ สเต็มเซลล์ หนึ่งในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่นำไปสู่ความหวังในการบรรเทาอาการเจ็บป่วยและรักษาโรคร้ายให้มลายหายไปจากสิ่งมีชีวิต เสมือนกดปุ่มรีเซ็ตเครื่องคอมพิวเตอร์ แม้นวัตกรรมดังกล่าวยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการให้นำมาใช้ในวงการการแพทย์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันคือหนึ่งในหนทางแห่งความหวัง
     ประติมากรรม ‘เทวตำนานการกวนเศียรสมุทร’ ที่เราๆท่านๆอาจเคยเห็นเมื่อเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นหนึ่งในตัวอย่างแห่งเรื่องเล่าของความปรารถนาความเยาว์วัย ตำนานการกวนน้ำอมฤตในหมู่เทวดาและอสูรที่กินเวลายาวนานเป็นพันๆปี เพื่อได้ดื่มกินน้ำอมฤตและทำให้กายาเป็นอมตะ
เอ็ดเวิร์ดฝังเขี้ยวแวมไพร์ในร่างของเบลล่า สาวคนรัก เพื่อให้เธอฟื้นคืนชีพใหม่และกลายร่างจากมนุษย์เป็นแวมไพร์ จะได้ครองคู่กับเขาในฐานะคนรักตราบนานแสนนาน จากนวนิยายและภาพยนตร์ภาคต่อชื่อดังซึ่งทำรายได้ถล่มทลายอย่าง แวมไพร์ ทไวไลท์
     ย้อนกลับไปยังบทสนทนาระหว่างโจชามี กิบส์ และกับตันแจ็ค สแปร์โรว์ที่ปฏิเสธการมีชีวิตเป็นอมตะ ด้วยเหตุผลว่า ชีวิตจะมีอะไรสนุก ถ้าเรารู้ว่า จะตายวันไหน…
3

 “ข้าว่าถ้าเราไม่รู้เวลาตายจะสนุกกว่า ทุกนาทีในชีวิต เราอยู่กับปริศนาซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด”
     ลองพูดประโยคข้างต้นด้วยท่วงทำนองของมนุษย์ปุถุชน ยิ้มเฝื่อนที่มุมปาก แล้วกระพริบตาข้างหนึ่งเบาๆ ฉันว่ามันออกจะเท่ดี
     คิดไหม ว่าถ้าเราไม่แก่ ไม่ตาย เราก็ไม่มีคุณสมบัติของความเป็นคน
     โรคภัยที่ไม่อาจรักษาได้ในมนุษย์ ไม่ใช่เอดส์ ไม่ใช่มะเร็ง โรคพวกนี้ ฉันว่ามียารักษา เพียงแต่ว่ายังไม่ค้นพบ
     โรคแก่ และโรคตายต่างหากที่ไม่เคยห่างหายไปจากมนุษย์ไม่ว่ายุคไหนๆ
     โรคแก่ และโรคตาย สอนให้เราใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีคุณค่า เพื่อตัวเอง และเพื่อคนที่เรารัก
     อย่าลืมบอกความลับในความรักให้คนรักของท่านได้รับรู้ เพราะเราเป็นมนุษย์ที่ไม่อาจรู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้สำหรับเราเพื่อที่จะบอกรักเขาไหม… ที่สำคัญ อย่าลืมทำให้ใครคนนั้นได้รับรู้ด้วยว่า คุณรักเขามากเพียงใด
YOUNG : เยาว์
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด
  • Young – เป็นคำคุณศัพท์ มีความหมายว่า เยาว์วัย อ่อนวัย หรือถ้าเป็นคำนาม จะหมายถึง คนที่มีอายุน้อย หรือลูกอ่อนของสัตว์ก็ได้ค่ะ ส่วน Youth – เป็นคำนาม หมายถึง วัยหนุ่มสาว หรือความเป็นหนุ่มสาวค่ะ
  • The Fountain of Youth คือ น้ำพุแห่งความเยาว์วัย ตามตำนานในภาพยนตร์ชุดไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียน ภาค 4 
  • Fountain แปลว่า น้ำพุ แต่ถ้า fountain pen จะแปลว่า ปากกาหมึกซึมจ๊ะ   
  • “Death is a distant rumor to the young.” เป็นคำพูดของ Andy Roony นักเขียนบทวิทยุและโทรทัศน์ชื่อดังชาวอเมริกัน มีความหมายเก๋าๆและเป็นสัจธรรมว่า ความตายคือข่าวลือหึ่งๆถึงคนเยาว์วัยนั่นเองค่ะ
  • Juan Ponce de Leon คือ นักสำรวจชาวสเปน ผู้ที่เคยออกตามหาน้ำพุแห่งความเยาว์วัยมาแล้วจริงๆ ในอดีต โดยเมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปในดินแดนแห่งใหม่คืออเมริกา ระหว่างทางเขาได้ยินชาวพื้นเมืองกล่าวถึงน้ำพุนี้ ด้วยความสนใจ เขาจึงออกตามหา โดยสถานที่แรกที่ไปคือบริเวณที่ตั้งของรัฐฟอริด้าในปัจจุบัน แต่ชั่วชีวิตของ Juan Ponce de Leon เขาก็ไม่เคยได้เห็นน้ำพุแห่งความเยาว์วัยนี้ด้วยตาตนเองเลย แต่เขาก็เชื่อว่ามันมีอยู่จริง จึงได้นำเรื่องมาเล่าให้เพื่อนๆนักเดินเรือด้วยกันฟัง จนเป็นที่แพร่หลายแก่หมู่นักเดินเรือชาวสเปนในยุคสำรวจโลกในเวลาต่อมา
  • เอ็ดเวิร์ด ทีช หรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า โจรสลัดเคราดำ (Blackbeard) สุดยอดโจรสลัดจอมโหดที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โจรสลัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หนวดเคราอันหนาครึ้มเต็มใบหน้า เป็นกัปตันของเรือควีน แอนส์ รีเวนจ์  (Queen Anne's Revenge) ที่ออกปล้นบริเวณคาบสมุทรอินเดียตะวันตก คาบสมุทรแคริบเบียน และชายฝั่งตะวันออกของเหล่าเมืองขึ้นของอเมริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 18
  • ขอขอบคุณเรื่องราวของ Juan Ponce de Leon และ Blackbeard จากhttp://www.oknation.net/blog/print.php?id=717366 ค่ะ 
 
STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน


JOB & WORK: การงานอาชีพ
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด


 1

     ฉันมักถ่อไปซื้อเครื่องเขียนจากก๊ะ (พี่สาว) ร้านเครื่องเขียนเจ้าประจำ แม้จะมีร้านอื่นที่อยู่ใกล้ซอยกว่า เพราะก๊ะมักจะต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้ม ก๊ะรู้หมดว่าของทุกอย่างในร้านวางอยู่ตรงไหน อะไรที่มีหรือไม่มีบ้าง
     ในกรณีที่ไม่รีบมาก เวลาที่ไปส่งพัสดุ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ ฉันก็เจาะจงเข้าแถวที่พนักงานหน้าตายิ้มแย้มเบิกบาน และให้คำแนะนำอย่างเป็นกันเอง แม้จะมีแถวอื่นๆที่สั้นกว่าก็ตาม
     ฉันชอบไปอุดหนุนร้านขายข้าวมันไก่อบน้ำผึ้งเจ้าเดิม แม้ว่าเธอจะมาเสิร์ฟและคิดเงินช้าหน่อย แต่ทุกขณะที่เธอตักข้าวมันไก่ใส่จาน เธอมีความสุขเสมอ รสชาติอร่อย ราคาถูกและเยอะด้วย อันนี้สำคัญ เพราะฉันเน้นปริมาณความจุ ให้กระเพาะมันอิ่ม
     ฉันอดอมยิ้มไม่ได้ เมื่อดูข่าวพนักงานจราจรที่เป่านกหวีดตามจังหวะพร้อมโชว์ลีลายักย้ายกลางสี่แยกไฟแดงที่มีรถคับคั่งในชั่วโมงเร่งด่วน โดยเฉพาะยามแดดร้อนทะลุองศาเดือด
  

เวลาที่ได้เจอคนที่ได้ทำในสิ่งที่รักและถนัด คุณเห็นด้วยกับฉันไหมว่า…
มีรังสีความสุขที่แผ่ออกมาจากคนๆนั้น ให้เราได้รับรู้และรู้สึกด้วย

2

     ตอนกรอกประวัติส่วนตัวเมื่อสองสามปีก่อน มีช่องหนึ่งที่ต้องเติมเกี่ยวกับเป้าหมายในอนาคต ฉันกรอกลงไปว่า
     “อยากเรียนรู้ในทุกๆวันของชีวิต ตอนที่ยังมีไฟอยู่ อาจเปลี่ยนที่ทำงานและอาชีพที่ทำไปเรื่อยๆ มีความสุขกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือเรียนรู้สิ่งเดิมๆในมุมมองที่เปลี่ยนไป พอไฟเริ่มมอด เราก็จะค้นพบว่า สิ่งไหนที่เรารัก และพร้อมจะอยู่กับมันไปนานๆ จะเริ่มใช้ชีวิตนิ่งๆ อยู่กับครอบครัว ดูแลแม่ และหาโอกาสถ่ายทอดสิ่งที่เราได้รับมาให้กับคนอื่น”
     พอลองเอากลับมาอ่านอีกที ทำให้รู้สึกขำนิดๆว่า เออแฮะ! อย่างกับจะตอบคำถามชิงมงกุฎ รู้อย่างนี้ น่าจะต้องไม่ลืมขึ้นต้นก่อนตอบคำถามว่า ‘ขอบคุณสำหรับคำถามค่ะ’
     โลกที่หมุนผ่านไปในแต่ละวันทำให้ฉันเรียนรู้ว่า หนึ่งในบรรดาคนที่โชคดี คือ ‘คนที่ได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก’
     คิดเอาง่ายๆว่า ในชีวิตของคนหนึ่งคน เราต้องเจอกับอะไรมาบ้างกว่าจะฝ่าฟันมาได้ถึงปัจจุบัน มีปัจจัยหลากหลายที่นำเราสู่สิ่งที่กำลังทำอยู่ขณะนี้ - ปัจจัยจากตัวเราเอง ตอนที่เราต้องลองผิดลองถูก ลองเรียนรู้ ศึกษา และลองทำหลายๆอย่างเพื่อค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่เรารัก ถนัด และเราสามาถใช้เวลาอยู่กับมันได้นานๆ - ปัจจัยจากครอบครัวที่สนับสนุนหรือคัดค้าน เพราะบางครั้ง ความเป็นห่วงและความรักของคนในครอบครัว ก็อาจเป็นอุปสรรคหนึ่งของการก้าวไปสู่ความฝัน ใครบางคนจึงอาจต้องซ่อนฝันเอาไว้ จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสมที่จะเปิดเผยมันออกมา เช่นที่บางคนอาจต้องเรียนตามความต้องการของครอบครัว แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักหรือถนัดในสิ่งนั้นเลยก็ตาม – และปัจจัยอื่นๆที่มากมายประดามี จะอธิบายให้ถ้วนถี่คงไม่หมด
     ด้วยอายุเท่านี้ ฉันเข้าข้างตัวเองว่า ฉันประสบความสำเร็จในชีวิตประมาณหนึ่งแล้วแหละ ฉันได้ลองทำในหลายสิ่งอย่างที่ฉันรัก ได้สอนภาษา ได้ทำงานที่เกี่ยวกับตัวอักษร อย่างเช่นงานแปลและงานเขียน ได้ถ่ายภาพ ทำงานเก็บหอมรอมริบ และออกเดินทางไปเรียนรู้โลกในมุมต่างๆ ทั้งเพื่อเปิดโลกทัศน์ และได้นั่งนิ่งๆ ในสถานที่ที่แตกต่าง เพื่อฟังบทสนทนาของหัวใจตัวเอง ได้รับรู้ทั้งสุขและทุกข์ ... ได้รับรู้ว่า ‘เรากำลังใช้ชีวิต’
     แม้สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ในขณะนี้ มันอาจจะดูไม่มั่นคงนักในสายตาของคนรอบข้าง แต่ฉันเชื่ออยู่ลึกๆว่า ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราจะมีพละกำลังต่อสู้กับอุปสรรคมากมายที่ขวางหน้า 

3

ขงจื๊อ นักปราชญ์ชาวจีน กล่าวไว้ว่า...
“จงเลือกงานที่คุณรัก แล้วคุณจะรู้สีกว่า คุณไม่ต้องทำงานเลยแม้แต่วันเดียว”
 “Choose a job you love, and you will never have to work a day in your life.”

JOB & WORK: การงานอาชีพ     
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด

     ขงจื๊อ (Confucius) ถือเป็นนักคิดและนักปรัชญาสังคมที่มีชื่อเสียงของจีนและของโลก ท่านมีชีวิตอยู่เมื่อสมัยประมาณ 500 ปีก่อนคริตศักราช ชาวไทยเรียกปราชญ์ผู้นี้ด้วยหลายหลากนาม เช่น ขงฟู่จื่อ ขงจื่อ ข่งชิว
     คำสอนของขงจื๊อนั้นฝังรากอิทธิพลลึกลงไปในสังคมเอเชียตะวันออกมาเป็นเวลาถึงยี่สิบศตวรรษ หลักปรัชญาของขงจื๊อเน้นเกี่ยวกับศีลธรรมส่วนตัวและศีลธรรมในการปกครอง ความถูกต้องเหมาะสมของความสัมพันธ์ในสังคม กระทั่งถึงความยุติธรรมและความบริสุทธิ์ใจ 


“Choose a job you love, and you will never have to work a day in your life.”
Confucius – ancient philosopher

  • Confucius เป็นนามภาษาอังกฤษที่เรียก ขงจื๊อค่ะ 
  • Choose a job you love = จงเลือกงานที่คุณรัก
  • and you will never have to work a day in your life = แล้วคุณจะรู้สีกว่า คุณไม่ต้องทำงานเลยแม้แต่วันเดียว
  • ขออธิบายว่า job กับ work ที่ดูเหมือนคล้ายแต่มีความหมายต่างกันนิดหน่อยค่ะ กล่าวคือ job  เป็นงานที่เมื่อทำแล้วได้เงินเป็นค่าตอบแทน ส่วน work คือ งานที่ต้องอาศัยความทุ่มเท อาจจะหนักหนา และบางทีก็ไม่ได้เงินเป็นค่าตอบแทน (แต่มันก็อาจมีความสุขปนอยู่ในนั้นด้วยค่ะ) 
  • หากกลัวจะจำสลับกัน ก็จำเอาง่ายๆว่า เราเรียกการบ้าน เป็นภาษาอังกฤษว่า ‘homework’ และเรียกงานบ้านว่า ‘housework’ งานทั้งสองอย่าง ทำแล้วเหนื่อย และไม่ได้เงิน แต่เราจะมีความสุขเมื่อทักษะเราเพิ่มหลังจากทำการบ้าน และเมื่อเราทำงานบ้าน บ้านเราก็จะสะอาดนั่นเองค่ะ
  • สุดท้ายแล้ว ของให้ทุกคนได้งานดีๆ และสนุกกับการทำงานนะคะ - Get a good job and enjoy your work!  
 
STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน
EXPERIENCE : ประสบการณ์
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด
 
 
1

    ไม่กี่วันที่ผ่านมา กระดาษเอสี่ไม่กี่แผ่นพร้อมตราดุนมหาวิทยาลัยทำให้ฉันรู้สึกแปลกแปร่งบอกไม่ถูก คงเพราะเนื้อความในหนังสือรับรองที่ออกโดยฝ่ายทะเบียนนั้น เป็นหลักฐานอย่างดีที่ยืนยันว่า ‘หนูเรียนจบแล้วนะคะ’

2

     หากฉันเอ่ยรหัสนักศึกษา (ที่มีตัวเลขสองตัวแรกบ่งบอกปีการศึกษาที่ฉันเริ่มเข้ามาเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย)ออกไปให้ใครได้ยินแล้วล่ะก็ รับรองว่ามันจะทำให้ใครหลายๆ คน โดยเฉพาะน้องๆ นักศึกษาปีหนึ่งต้องร้องโอ้โหว่า ‘นักศึกษารหัสนี้ ยังมีเรียนอยู่อีกหรอเนี่ย!!!’
     ฉันเคยเจอประสบการณ์นี้มากับตัวบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสองสามเดือนก่อน คราที่รุ่นน้องคนหนึ่ง วานให้ฉันไปช่วยติวหนังสือก่อนสอบย่อยให้ แล้วฉันเผลอบอกรหัสนักศึกษาออกไป น้องคนนั้นถึงกับขำกลิ้ง พยายามบอกฉันด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า ‘เอ่อ...ตอนพี่อยู่ปีหนึ่ง ผมเพิ่งเข้าม.หนึ่งเองครับ เอิ๊กๆๆ’
     ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าทำไมน้องถึงต้องขำขนาดนั้น เพราะแม้แต่ฉันเอง ก็ไม่เคยคิดจินตนาการมาก่อนว่า จะใช้เวลาการเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนานขนาดนี้กว่าจะเรียนจบ (สักที)
     จะอย่างไรก็ตาม ฉันออกจะภูมิใจเสียด้วยซ้ำเมื่อได้บอกกับใครต่อใครว่า ‘ฉันยังเรียนไม่จบ’ แถมไม่ใคร่สาธยายต่อด้วย ว่าทำไมถึงยังเรียนไม่ยอมจบ ... ฉันเชื่อว่ามนุษย์แทบทุกคนมีความใฝ่รู้อยู่ในตัว ดังนั้น เหตุผลว่าทำไมฉันยังเรียนไม่ยอมจบ คงเป็นเรื่องที่พวกเขาสรรหาคำตอบด้วยตนเองได้ไม่ยากนักหรอก
     สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ ฉันโคตรเห็นด้วยกับข้อความสั้นๆ ในหนังสือเล่มหนึ่งของ ‘วินทร์ เลียววารินทร์’ ที่ว่า

“คุณค่าของการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
อาจอยู่ที่การใช้ชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัย”
 
 
3

     สำหรับท่านผู้อ่านที่ติดตามบทความในคอลัมน์คิดระหว่างบรรทัดอยู่เสมอ คงพอทราบกันบ้างว่า ฉันเป็นนักศึกษาที่ชีพจรลงเท้าและชอบโดดเรียน ไม่ค่อยชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆ เวลาโดดเรียน ไม่โดดหรอกแค่คาบสองคาบ ฉันโดดเรียนทีเป็นเดือนๆ ไม่ก็เป็นปี ถ้าถามว่าโดดเรียนไปไหน คงต้องเผยนิสัยน่ารักๆ ของฉันได้อีกอย่างหนึ่ง คือ การชอบแกว่งเท้าหาเรื่องและหาประสบการณ์ ฉันชอบสมัครทุนเพื่อไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนยังประเทศต่างๆ อันนี้ต้องขอบคุณฐานะทางบ้านที่มีแค่พอจะกิน (ไม่ได้มีอันจะกิน) ที่ทำให้ชีวิตนักศึกษาของฉันเลยเถิดมาไกลได้ถึงขนาดนี้ แม่ประกาศก้องตั้งแต่สมัยฉันเรียนมัธยมปลายว่า “เรื่องเรียนต่อต่างประเทศเหมือนชาวบ้านเขาน่ะ ไม่ต้องไปคิดหรอก ได้เข้ามหา’ลัยภูธร แค่นี้ ก็หรูมากแล้ว” นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ทิฐิมานะฉันบังเกิด ใช่แล้วล่ะ...ฉันอยากไปสูดอากาศเมืองนอกได้โดยไม่ต้องเปลืองเงินพ่อแม่
     ฉันเริ่มก่อกิเลสด้วยการไปทำพาสปอร์ตมาไว้เป็นเบื้องต้นก่อน เอาไว้เผื่อมีโครงการหรือทุนดีๆ ฉันจะได้สมัครง่ายๆ ไม่ต้องเอาเหตุผลเรื่องยังไม่มีพาสปอร์ตมาอ้าง ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ฉันก็บินลัดฟ้าไปประเทศจีนในฐานะหนึ่งในนักศึกษาโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แม้จะเป็นเวลาแค่สองสัปดาห์ แต่ก็เป็นการเปิดประสบการณ์ต่างประเทศสุดประทับใจของฉันเลยทีเดียว ถัดมาอีกสองสามเดือน ฉันก็เดินทางไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน ณ รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย เป็นเวลาสองภาคเรียน กลับมาเป็นนักศึกษาปีสี่ได้อีกแค่ปีเดียว ก่อนออกไปฝึกสอน คราวนี้ได้โอกาสดี บินข้ามทวีปไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่อเมริกาถึงสองเดือน
    หลายๆคนมักชมถึงคุณแม่ฉันว่า “คุณแม่เก่งจัง กล้าดีจัง ที่อนุญาตให้ลูกสาวไปอยู่ไกลๆ และคราวละนานๆ” เปล่าหรอก บางส่วนเป็นแผนการณ์ของฉันเอง ฉันไม่เคยบอกที่บ้านเลย เวลาจะสมัครโครงการอะไร เอาไว้ค่อยบอกทีเดียวตอนผลประกาศออกมาแล้วว่าฉันได้รับคัดเลือก ทีนี้มันก็จะมีเวลาแค่ไม่กี่วันให้ตัดสินใจยืนยันสิทธิ์ ถึงตอนนั้น ก็เหมือนกับการมัดมือชกดีๆ นี่เอง ไม่ต้องขออนุญาตแล้วล่ะ แค่แจ้งเพื่อทราบ พร้อมกับบอกคุณแม่อ้อนๆว่า “นะ นะ น๊า... อุตส่าห์สอบได้ ได้ไปต่างประเทศฟรีๆ ดีจะตายชัก ต้องคอนเฟิร์มภายในวันนี้น๊า... ไม่งั้นเสียโอกาส เสียดายแย่” แค่นั้นแหละ คุณแม่ก็เซย์เยสแล้ว
     บางครั้ง คำบางคำของบางคน มันก็อาจบั่นทอนโอกาสของเราออกไปก่อนที่เราจะได้เดินทางไปคว้าโอกาสนั้นด้วยซ้ำ ฉันเห็นหลายๆคน มีความสามารถมากพอ แต่ก็ไม่กล้าสมัครเพราะคิดว่า “ถึงได้ไป ที่บ้านก็ไม่ให้ไปหรอก” นั่นเป็นแค่การบั่นทอนจากคนอื่น มันไม่เลวร้ายมากเท่ากับการที่เราบั่นทอนตัวเองด้วยเหตุผลพื้นๆ ที่ว่า “ไม่สมัครดีกว่า ฉันไม่เก่งพอ คงไม่ได้รับเลือกหรอก” ฉันอยากประกาศไว้ตรงนี้เลยว่า “คนที่มีสิทธิ์ตัดสินว่าคุณได้หรือไม่ได้ คือคณะกรรมการ ไม่ใช่ตัวคุณเอง ดังนั้น เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว ก็สมัครไปเลย อย่ารอช้า ได้หรือไม่ได้มันเป็นอีกเรื่องนึง” 
    ชีวิตในต่างประเทศไม่ได้สวยงามเหมือนในฝัน ฉันต้องปรับตัวเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในหลายๆ ด้าน ทว่าอุปสรรคมากมายที่ต้องฟันฝ่ากลับก่อร่างสร้างประสบการณ์มากมาย ฉันดีใจที่ไม่ได้แค่เติบโตขึ้นด้วยกาลเวลา แต่เลขอายุที่เพิ่มขึ้นได้นำพาวุฒิภาวะมาพร้อมๆกัน แม้มันจะไม่มากนัก แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญสำหรับเราเสมอ จากที่เมื่อก่อนเคยเป็นเด็กค่อนข้างเอาแต่ใจตามประสาลูกคนเล็ก พอต้องใช้ชีวิตอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครคอยตามใจเรา และต้องดิ้นรนฝ่าฟันทุกอย่างด้วยตนเอง ความยากลำบากมันทำให้เรารู้ซึ้งว่า ไม่มีใครรักเราและหวังดีกับเราเท่ากับคนที่บ้าน  และท้ายที่สุดแล้ว ระยะเวลาสองสัปดาห์ในจีน สองภาคเรียนในมาเลเซีย และสองเดือนที่อเมริกา ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า

“เราเดินทางออกไป ไม่ใช่แค่เพื่อเรียนรู้โลกกว้าง แต่เพื่อที่จะรู้จักตัวเองด้วย”
 
EXPERIENCE : ประสบการณ์
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด
 
Don’t forget to say ‘CONGRATULATIONS’ to me.
I’ve already graduated after almost seven years of being a university student.
By the way I really proud of my two weeks in China,
my two semesters in Malaysia and my two months in the States before my graduation.”
“อย่าลืมแสดงความยินดีกะหนูนะคะ
ในที่สุดหนูก็เรียนจบแล้วจร้า... หลังจากเป็นนักศึกษามหา’ลัยมาตั้งเกือบเจ็ดปีแน่ะ
แต่จะยังไงก็เห๊อะ หนูโคตรภูมิใจกับสองสัปดาห์ในจีน
สองเทอมในมาเลเซีย แล้วก็สองเดือนในอเมริกาชะมัดเลย”
  • Congratulations เป็นคำที่เอาไว้กล่าวแสดงความยินดีค่ะ ไม่จำเป็นต้องเนื่องในโอกาสจบการศึกษาก็ได้ค่ะ ขอแค่อย่าลืมเติม –s ต่อท้ายเป็นพอ 
  • Graduate เป็นได้ทั้งคำนามและกริยา ถ้าเป็นคำนาม หมายถึง บัณฑิต หรือผู้สำเร็จการศึกษา ส่วนถ้าเป็นกริยา จะหมายถึง สำเร็จการศึกษา ส่วน graduation เป็นคำนาม หมายถึง การสำเร็จการศึกษา  
  • By the way เป็นสำนวนที่มีความหมายเก๋ๆ ว่า อนึ่ง หรือ อีกอย่างหนึ่ง หรือที่ฝรั่งเค้าชอบพิมพ์กันย่อๆในแชทว่า BTW นั่นเองค่ะ 
  • The States เป็นชื่อเล่นของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ USA นั้นเองค่ะ ห้ามลืมเติม –s ต่อท้ายเหมือนกันค่ะ เพราะประเทศนี้มีรัฐหลายๆรัฐ ที่รวมกันขึ้นมาเป็นประเทศค่ะ 
  • Experience เป็นได้ทั้งคำนามและกริยาเช่นเดียวกันค่ะ ถ้าเป็นคำนาม หมายถึง ประสบการณ์, ความชำนาญ, ความเชี่ยวชาญ, ความรู้จากประสบการณ์ ส่วนถ้าเป็นกริยา หมายถึง มีประสบการณ์, ได้รับประสบการณ์, ประสบกับ, พบกับ นั่นเองค่ะ เติม -d ต่อท้ายไปอีกหนึ่งตัว จะกลายเป็นคำคุณศัพท์ นั่นก็คือ experienced หมายถึง มีประสบการณ์, จัดเจน, ฉลาด, เชี่ยวชาญ หรือชำนาญ ค่ะ
 
 STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน

 
 

Monday, July 15, 2013

EXCELLENCE : ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด
1
     พูดถึงคำว่า Excellence ก็ให้นึกถึงเรื่องของเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่ง ฉันลองเอาเรื่องที่เขาเล่าให้ฉันฟัง มาสรุปเล่นๆเป็นบทสนทนาสั้นๆ ได้ดังนี้
  • น้องบ่าว : พี่บ่าว ขอแลเกรดพี่บ่าวทีต่ะ 
  • พี่บ่าว : นี่แหละ มาแลต่ะ ที่หน้าจอคอมนิ หวางนี้เค้าไม่ต้องรับสมุดพก แลกันทางคอมนี่แหละ 
  • น้องบ่าว : แล้วไซ E มากแรงล่ะนั้น ... E นี้มันแปลว่าไหรหล่าวล่ะพี่บ่าว 
  • พี่บ่าว : อ๋อ... E นี่เหอ ไม่รู้ไหรเสียแล้วน้องบ่าว นี่มันไม่ได้มาง่ายๆนะไอ้น้อง E นี่หมายถึง Excellence แปลว่า หรอย แปลว่า เก่ง สุดยอดไหรพันนั้นแหละ

     ฉันไม่รู้เหมือนกันว่า บทสนทนานี้มีที่มาเริ่มแรกและที่ไปในตอนจบว่าอย่างไร ท้ายสุดแล้วน้องชายจะเชื่อพี่ชายหรือไม่ แต่ที่รู้แน่ๆ พี่บ่าว-น้องบ่าวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่บ่าวคนนี้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของฉันที่เป็นคนเล่าเรื่องนี้นี่เอง ทีแรกฉันกะว่าจะปลอบแล้วก็ให้กำลังใจมันเสียหน่อย แต่มันกลับไม่เศร้าที่ตัวเองได้เกรดน้อย แถมยังเล่าน้องชายอย่างภูมิอกภูมิใจได้อย่างนี้ ก็ถือว่าหมดห่วง

2


Excellence is never an accident.
ความเป็นเลิศมิใช่เรื่องบังเอิญอย่างเด็ดขาด


จากหนังสือ ‘WORDS’
หนังสือรวมคำคมโดย วรากรณ์ สามโกเศศ

    ฉันโคตรเห็นด้วยกับประโยคสั้นๆ ประโยคนี้ ด้วยเหตุผลของการเลือกใช้คำที่แสนเรียบง่าย เล่นคำหลักสองคำที่ออกเสียงคล้ายๆ กัน คือ excellence กับ accident เสมือนเป็นการจับคู่คำตรงกันข้าม ทว่าสื่อความหมายเชิงสัจธรรมได้อย่างทรงพลัง
     อยากบอกที่มานิดหนึ่งว่า หนังสือ ‘WORDS’ เล่มนี้ เป็นหนังสือที่ได้เป็นเจ้าของเมื่อไม่นานมา จากงานมหกรรมหนังสือ ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และถ้าใครเคยดูภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องกังฟูแพนด้า ภาคแรก คงยังจำคำกล่าวของปรมาจารย์ใหญ่ สำนักกังฟู ที่ว่าไว้ว่า ‘เรื่องบังเอิญไม่มีจริง’ ถ้าเป็นงั้น ฉันก็จะบอกตัวเองต่อว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกที่ฉันไปเชียงใหม่ในช่วงเดียวกับที่มีงานมหกรรมหนังสือ และมีเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ชี้ชวนฉันไปเดินเล่นในงาน
     เอ่อ...จริงๆก็ไม่แค่เดินเล่นๆหรอก รู้สึกตัวอีกที กระเป๋าตังค์เบาหวิวแถมมีถุงใส่หนังสือพะรุงพะรังถืออยู่ในมือแทน
    ร้อยทั้งร้อยของชีวประวัติบุคคลสำคัญ วีรบุรุษ หรือวีรสตรีไม่ว่าจะมาจากแห่งหนใดก็ตาม ต่างมีเบื้องหลังอันตรากตรำก่อนจะได้ซึ่งความสำเร็จกันทั้งสิ้น ทั้งๆที่คนไทยเรียนประวัติศาสตร์กันมาเยอะแยะมากมาย เรียนรู้เบื้องหลังความสำเร็จนับพันนับหมื่น ชมบทสัมภาษณ์คนดัง และอ่านหนังสือฮาวทูเป็นตั้งๆ ทว่านิสัยหนักไม่เอาเบาไม่สู้ ฟุ้งเฟ้อและบ้าวัตถุนิยมของคนไทยกลับทำให้ฉัน (ซึ่งก็เป็นคนไทยเหมือนกัน) แอบเป็นงงอยู่เสมอๆ
    คนไทยอยากรวยแต่ไม่อยากเหนื่อย พ่อแม่ในเจเนอเรชั่นนี้ไม่ว่ารวยหรือจน ก็เลี้ยงลูกให้ติดหรูและอยู่สบายกันแทบทั้งนั้น กรุณาเถอะค่ะ คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย (รวมถึงว่าที่คุณพ่อคุณแม่ด้วย) กรุณาอย่าเป็นอย่างที่กล่าวไว้ในบทกวี ‘พ่อแม่รังแกฉัน’ ของพระยาอุปกิตศิลปสาร กรุณาอย่าทำร้ายลูกของคุณด้วยความรักของคุณเองเลย
     คาบแรกของฉันในการสอนนักเรียนห้องหนึ่ง ฉันให้นักเรียนบอกข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเรียนการสอนในวิชาดังกล่าวเพื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ไม่รู้จะขำหรือจะเศร้าดีที่นักเรียนสรุปออกมาเป็นคำขวัญว่า ‘ปล่อยก่อน สอนเลท เกรดสี่’
     หรือพ่อแม่จะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งไหมที่ทำให้นักเรียนไทยไม่ขยัน ไม่ตั้งใจเรียน และขี้เกียจอ่านหนังสือ ทั้งยังไม่พอใจเวลาครูให้ทำแบบฝึกหัดหรือทำการบ้าน
     หรือจะโทษคำกล่าวในศิลาจารึกที่พ่อขุนรามคำแหงท่านบันทึกเอาไว้ว่า ‘ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว’ กันดี ที่ทำให้คนไทยเข้าใจกันไปเองว่าเมืองไทยนี้ดี มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์
     โถ...พ่อเจ้าประคุณ แม่เจ้าประคุณ นั่นมันตั้งแต่สมัยสุโขทัยโน่นแล้ว
     ถ้าไม่ไปจับปลา - ก็ไม่มีปลาให้กิน
     ไม่ปลูกข้าว - ก็ไม่มีข้าวที่ไหนให้เก็บเกี่ยว
     แล้วถ้าไม่ทำงาน – ไม่มีเงิน – ก็ไม่มีเงินซื้อทั้งข้าว - ไม่มีเงินซื้อทั้งปลา
   ฉันอยากจะบอกดังๆ เหลือเกินว่า โลกนี้ไม่มีอะไรที่หรอกได้มาโดยง่ายดาย หากเราไม่ใช้ความพยายาม
     ความเก่งกาจไม่ว่าทักษะใดก็ตาม ต่างต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ แรงกาย ความพยายาม ความขยัน ความอดทน และไม่ย่อท้อทั้งสิ้น ถ้าจะมีใครสักคนมาบอกคุณว่า เขาได้อะไรมาแบบโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรแม้แต่นิดเดียวเลย เป็นไปได้มากถึงมากที่สุดว่า ‘เขาตอแหล!!!’ 

3

     โธมัส อัลวา เอดิสัน บุคคลแรกที่จดสิทธิบัตรในการประดิษฐ์หลอดไฟ ผู้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่สำคัญต่างๆ มากมายจนได้ฉายา ‘พ่อมดแห่งเมนโลกพาร์ก’ กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า

“Genius is 1% inspiration, 99% perspiration.”
“ความเป็นอัจฉริยะมีที่มาจาก 1% ของพรสวรรค์และแรงบันดาลใจ
อีก 99% ที่เหลือคือหยาดเหงื่อและความพยายาม”

EXCELLENCE : ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด

  • Excellence เป็นคำนาม ส่วน Excellent เป็นคำคุณศัพท์ เอาไว้ใช้ขยายคำนามค่ะ 
  • There are no accidents. เป็นคำกล่าวภาคภาษาอังกฤษที่อาจารย์เต่าพร่ำบอก ในภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องกังฟูแพนด้า ภาคแรก หมายความว่า เรื่องบังเอิญไม่มีจริง 
  • ต่อให้อีกนิดแบบเก๋ๆ ว่า Everything happens for a reason! อย่างน้อยก็ต้องมีซักเหตุผลแหละ ที่ทำให้อะไรๆมันเกิดขึ้น เพื่ออะไรสักอย่างด้วยนะ 
  • There are no accidents. Everything happens for a reason!เรื่องบังเอิญไม่มีจริง ต้องมีเหตุผลเพื่ออะไรสักอย่างสิ ที่ทำให้อะไรๆมันบังเกิด
  • Accident นอกจากจะแปลว่า อุบัติเหตุแล้ว ยังแปลว่า เรื่องบังเอิญได้อีกด้วยนะคะ
  • I met him by accident. มีความหมายว่า ฉันเจอเขาโดยบังเอิญ อีกสองประโยคที่จะกล่าวต่อไปนี้ มีความหมายเดียวกันค่ะ I met him by chance. / I ran into him. 
  • ขอจบแบบกรุ้มกริ่มๆนิดนึงนะคะ
I haven’t loved you by accident.
ที่ฉันรักเธอมาจนวันนี้น่ะ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะจ๊ะ มันเป็นความตั้งใจล้วนๆ
>อิอิ<

STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน


Friday, March 8, 2013

THE TIP OF ICEBERG : ยอดภูเขาน้ำแข็ง
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด

1
     ช่วงนี้อาการอาร์ตตัวแม่ของฉันชักกำเริบหนัก พอสภาวะจิตใจอ่อนแอ ก็เริ่มทำตัวเป็นพวกคิดมาก เก็บเรื่องเล็กๆน้อยๆ มาใส่หัวจนทำให้ชีวิตเสียสมดุล ทั้งๆที่รู้ว่าเราต้องจูนชีวิตตัวเองเสียใหม่ แต่ก็ทำไม่ได้ซักกะที
     พี่โน้ต อุดม เคยกล่าวไว้ในเดี่ยว 7 ถึงบรรดาแม่เจ้าประคุณรุนช่องที่เป็นผู้หญิงทั้งหลายว่า พวกคุณเธอถือเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง อย่างที่หลายๆคนทราบ ‘ศิลปะ’ เป็นสิ่งซับซ้อน คาดเดาอะไรไม่ค่อยจะได้ พี่โน้ตเขาว่าไว้...

“ผู้หญิงเป็นศิลปะแบบตัวแม่ หรือ อาร์ตตัวแม่ ที่ลึกลับซับซ้อนกว่างานอาร์ตใดๆบนพื้นพิภพ”
     ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่คุณผู้ชายทั้งหลาย มักโอดครวญว่าผู้หญิงอย่างเราๆ เข้าใจยากอยู่เสมอ นั่นคงเพราะสิ่งที่พวกผู้หญิงแสดงออกผู้ชายรับรู้ เป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นเอง




2
     Tip of Iceberg มีความหมายโดยตรงคือ ยอดของภูเขาน้ำแข็ง ส่วนความหมายโดยนัย คือ สิ่งเล็กน้อยที่เรามองเห็นภายนอก เหมือนกับยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่อยู่เหนือน้ำ มันเป็นแค่ส่วนเสี้ยวของทั้งหมด มวลรวมแท้จริงยังมีเบื้องหลังซุกไว้ และเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นอีกเยอะมาก
     ทฤษฏีของภูเขาน้ำแข็ง มีกล่าวไว้ในแวดวงวิชาการหลายแขนง
    ครั้งแรกที่ฉันเคยได้ยินหัวข้อเกี่ยวกับภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg Metaphor) เป็นตอนสมัยที่เข้าปีหนึ่งใหม่ๆ แล้วต้องเรียนวิชาจิตวิทยาเบื้องต้น
     ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) บิดาแห่งจิตวิทยาผู้ริเริ่มให้ความสนใจกับจิตใต้สำนึก เขาเปรียบเทียบว่า จิตใจมนุษย์มีสภาพคล้ายภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในมหาสมุทร มีส่วนที่อยู่เหนือผิวน้ำเป็นส่วนน้อย มีส่วนอยู่ใต้ผิวน้ำเป็นส่วนใหญ่ บทความฉบับนี้ จึงอยากลองขออธิบายทฤษฎีจิตวิทยายากๆให้อยู่ในรูปแบบง่ายกันดูบ้าง ตามภาพเลยค่ะ
  • ภาวะจิตระดับที่มีความสำนึกควบคุมอยู่ เช่นเดียวกับส่วนของน้ำแข็งที่อยู่เหนือผิวน้ำ 
  • ภาวะจิตระดับใต้สำนึกเหมือนส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำ เป็นที่สะสมองค์ประกอบของจิตไว้มากมาย
     พลังจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกกระตุ้นให้มนุษย์ประกอบพฤติกรรมต่างๆ นานา พฤติกรรมบางประเภทถูกกระตุ้นโดยจิตสำนึกอย่างเดียว (Conscious Mind) เช่น รับประทานอาหาร ยิ้ม ไปโรงเรียน บางประเภทถูกกระตุ้นโดยจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกปะปนกัน (Preconscious Mind) เช่น บางคราวเผลอพูด คิด ทำ แล้วมีสติระลึกได้ทันทีว่าควรหรือไม่ควร จึงเปลี่ยนคำพูด วิธีคิด พฤติกรรมบางประเภทถูกกระตุ้นโดยจิตใต้สำนึกอย่างเดียว (Unconscious Mind) เช่น ความฝัน การละเมอ การพลั้งปากพูดคำหยาบ การทำอะไรอย่างเผลอไผลไม่รู้ตัว
     ฟรอยด์ได้ให้ความสนใจกับจิตใต้สำนึกของมนุษย์ที่มีอารมณ์หลากหลายซ่อนอยู่ภายใน อันเป็นแรงจูงใจให้เกิดพฤติกรรมไร้เหตุผลและผิดปกติในลักษณะต่างๆ ซึ่งอารมณ์เหล่านั้นอาจจะแสดงออกมาในขณะที่ได้รับสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างหนักหน่วง ไม่ว่าจะเป็นเวลาโกรธสุดๆ ดีใจสุดๆ หรือเวลาสับสนมากๆ เหมือนกับคลื่นยักษ์ถาโถมเข้ามาหาภูเขาน้ำแข็งแล้วน้ำแข็งส่วนที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำก็โผล่ออกมาให้เราเห็นนั่นเอง
     ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนที่คนบางคน เมื่อดีใจสุดๆ อาจกระโดดโลดเต้นโดยไม่รู้ตัว หรือคนบางคนที่โกรธสุดๆอาจขว้างปาสิ่งของโดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกันกับคนที่นั่งร้องไห้ทีหลังเมื่อรู้ว่าสิ่งที่ปาออกหน้าต่างไปก็คือกระปุกออมสินกับเงินที่เก็บตลอดทั้งปี   
 
3
     อีกครั้งหนึ่ง ฉันเรียนรู้เรื่องทฤษฎีภูเขาน้ำแข็งผ่านสไตล์การเขียนของนักเขียนชาวอเมริกัน นาม ‘เออร์เนสต์ เฮมมิ่งเวย์’ (Ernest Hemingway) สไตล์การเขียนของเฮมมิงเวย์ใช้ประโยคสั้น กระชับ เขียนด้วยภาษาเรียบง่ายทว่ามีพลัง ก่อให้เกิดจินตภาพชันเจนและสื่อถึงความหมายแฝงอย่างน่าอัศจรรย์
    ผลงานเรื่องสั้นของเฮมมิ่งเวย์ที่ฉันเคยอ่านมีชื่อว่า ‘Hills Like White Elephants’ ถ่ายทอดเรื่องราว ณ สถานีรถไฟแห่งหนึ่งในสเปน ท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุและเปลวแดดแผดเผา หนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังรอรถไฟไปมาดริด บทสนทนาของทั้งสองดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ในบาร์เบียร์เล็กๆ ริมทางรถไฟ มีถ้อยคำที่ชายหนุ่มได้เอ่ยออกมาธรรมดาๆว่า 


“It's just to let the air in”
“But I don't want anybody but you,” 
     ทว่าหากเรามองลึกลงไป แล้วทราบความจริงที่ว่า หญิงสาวคนนั้นกำลังตั้งครรภ์และชายหนุ่มคนรักกำลังบอกหญิงสาวให้ไปทำแท้งซะ ด้วยคำพูดแสนเรียบง่ายว่า “ก็แค่แทนที่มันด้วยอากาศ” แถมยังตบท้ายด้วยคำบอกรักที่แสนเจ็บปวดว่า “ฉันเอง...ก็แค่ไม่อยากมีใครนอกจากเธอ” กลับดูไม่ธรรมดา และเป็นคำกล่าวอันแสนเจ็บปวดที่บาดลึกลงในใจของหญิงสาว เมื่อบทสนทนายังคงดำเนินต่อไปอย่างไร้วี่แววว่าจะจบ สาวเสิร์ฟในบาร์คนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับโน้ตเล็กๆบอกชายหนุ่มว่า อีกห้านาทีรถไฟก็จะมาถึงแล้ว ชายหนุ่มเก็บกระเป๋าไปรอรถไฟอีกฟากตรงข้าม แต่รถไฟก็ไม่มา สุดท้ายชายหนุ่มก็เดินกลับมาหาหญิงสาวคนรักที่ยังนั่งอยู่ในร้าน แล้วถามว่า “รู้สึกดีขึ้นกว่าเก่าไหม” หญิงสาวตอบว่า “ก็สบายดีนี่ ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลยเห็นไหม ใช่แล้วล่ะ ฉันสบายดี”
    ฉันรู้สึกชื่นชมเฮมมิ่งเวย์ ไม่ใช่แค่เพราะตัวอักษรของเขาสร้างจินตภาพชัดเจนเท่านั้น แต่ทุกสิ่งอย่างที่เขาหยิบยกมาเล่านั้นต่างสะท้อนความหมายลึกซึ้ง รถไฟที่เปรียบเสมือนการเลือกตัดสินใจไปหรือไม่ไป ซ้ายหรือขวา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สภาพอากาศอันร้อนระอุเหมือนบทสนทนาแล้งน้ำใจของชายหนุ่มที่แผดเผาจิตใจของหญิงสาว การตั้งครรภ์ของหญิงสาวที่เหมือนคลื่นยักษ์ที่สาดซัดให้จิตใต้สำนึกของชายหนุ่มเผยออกมา และคำตอบสุดท้ายที่หญิงสาวบอกชายหนุ่มว่า “ฉันสบายดี” จริงๆแล้วเธอสบาย(ใจ)ดี จริงหรือ? สไตล์การเขียนที่บอกเล่าเหตุการณ์ด้ยภาษากระชับแสนเรียบง่ายราวกับยอดภูเขาน้ำแข็งและคำพูดและตัวอักษรเพียงน้อยนิดกลับแฝงความหมายลึกล้ำมหาศาล
    หลายคนอาจสงสัยว่า ช้างเผือก หรือ White Elephants ที่ตั้งเป็นชื่อเรื่องเกี่ยวอะไรกันกับเนื้อเรื่อง White Elephants มีความหมายที่เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการตั้งครรภ์ เท่าที่ทราบ มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ในสองแง่มุม แง่มุมแรก ในทางพุทธศาสนา เมื่อพระมารดาของพระพุทธเจ้าทรงครรภ์นั้น พระองค์ทรงพระสุบินเห็นช้างเผือกอันเป็นนิมิตถึงผู้นำอันทรงเกียรติ ส่วนอีกแง่มุมหนึ่ง เป็นทรรศนะที่ทับซ้อนเหลื่อมล้ำระหว่างชาวตะวันออกกับตะวันตก ชาวตะวันออกมองว่าช้างเผือกเป็นสิ่งเลอค่าและคู่ควรกับกษัตริย์ ทว่าชาวตะวันตกถือเป็นสิ่งที่เป็นภาระหนักหน่วงสาหัสสากรรจ์ คนที่จะเลี้ยงช้างเผือกได้ต้องเป็นคนระดับชั้นกษัตริย์เท่านั้น มีกฎมณเทียรบาลอันหนึ่งที่หากกษัตริย์มอบช้างเผือกแก่ผู้ใดย่อมหมายถึงบุคคลผู้นั้นต้องโทษอันหนักหนาและซวยซ้ำซ้อน เพราะของกำนัลจากกษัตริย์ ไม่อาจปฏิเสธได้และต้องเลี้ยงดูอย่างดีเช่นเดียวกัน นี่ถือเป็นอีกหนึ่งความแยบยลของเฮมมิ่งเวย์ที่เปรียบเทียบครรภ์ของผู้หญิงเหมือนกันช้างเผือกที่เป็นภาระต้องดูแลกันไม่จบสิ้นนั่นเอง  


4
    ไม่รู้เหมือนกันว่าหากเรามองเห็นจิตใจมนุษย์ในส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำ มันจะดีไหม แต่สิ่งที่ฉันเชื่อแน่ๆว่ามันจะดี คือ การยอมรับและเข้าใจกันและกัน บางครั้งเราก็ต้องมองโลกอย่างละเอียดอ่อน รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่บางคราวเราเองก็ต้องมองข้ามเรื่องเล็กน้อยเห็บหอยในชีวิต และเก็บไม่เอามาคิดมากจนทำให้ชีวิตเสียสมดุล
     เอ่อ...ทำเป็นปรัชญาดี พูดดีไปงั้น ถึงคราวจริงแล้วก็หกล้มได้แผลอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน 

THE TIP OF ICEBERG : ยอดภูเขาน้ำแข็ง
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด
    The Tip of the Iceberg เป็นสำนวนภาษาอังกฤษสำนวนหนึ่ง มีความหมายว่า เป็นแค่จุดเล็กๆ ส่วนเล็กๆ ของสิ่งที่ใหญ่มาก ประมาณว่านัยปัญหา ร่องรอยเล็กๆของประเด็นหรือปัญหาที่เรารู้เราเห็นเพียงแค่ผิวเผิน จริงๆแล้วยังมีปัญหาที่ใหญ่กว่าแฝงอยู่ เพื่อให้เห็นกันชัดๆ ขอยกตัวอย่างเลยดีกว่า 
  • This technology is the tip of the iceberg, the very beginning of modern telecommunications. 
  • เทคโนโลยีนี้เป็นเพียงจุดเริ่มของการโทรคมนาคมสมัยใหม่ 
  • Suvarnabhumi runway cracks are just the tip of the iceberg. 
  • รันเวย์ร้าวเป็นแค่ปัญหาส่วนหนึ่งที่โผล่ให้เห็นของสนามบินสุวรรณภูมิ  
  • ขอขอบคุณข้อมูลของทฤษฎีภูเขาน้ำแข็งของฟรอยด์จาก www.novabizz.com/NovaAce/Subconscious.htm   
  • ขอบคุณสาระความรู้ดีๆ ของสำนวน “The Tip of the Iceberg” จากเพจของ ike-tomatte ค่ะ แนะนำไปอ่านสำนวนอื่นๆ เล่นๆ แก้เบื่อกันได้ตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ http://albertpotjes.wordpress.com 
  • ส่งท้ายกันด้วยภาพน่ารักๆ แต่เจ็บจี๊ดกันไปไม่น้อย จาก http://dailyfun.us ค่ะ  
  

STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน

Thursday, March 7, 2013

MATURITY : วุฒิภาวะ
THINK BETWEEN THE LINES : คิดระหว่างบรรทัด




1

สมัยอยู่มัธยมต้น 
ซายากะนึกอยากจะทำอะไรก็ลงมือทำทันที
โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
พอนึกถึงวันเวลาเหล่านั้นก็เหงาขึ้นมานิดหน่อย
บางที…เธอคงเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว
แต่การเป็นผู้ใหญ่นั้น 

หมายถึงการต้องสูญเสียบางสิ่งไปเช่นกัน

ซายากะ สาวน้อยนักสืบ ตอนที่ 4 สุดสัปดาห์สีม่วง







          ‘ซายากะ สาวน้อยนักสืบ’ เป็นวรรณกรรมเยาวชนแนวสืบสวนสอบสวนสัญชาติญี่ปุ่น เขียนโดย อะคากะวา จิโร นักเขียนแนวสืบสวนสอบสวนชวนอารมณ์ขันชื่อดัง แน่นอนว่า เล่มที่ฉันอ่านเป็นฉบับแปลภาษาไทย ซึ่งแปลโดยคุณวิภา งามฉันทกร
          ตัวละครเอกของเรื่องมีนามว่า ‘ซายากะ’ แต่มักมีคนเรียกเธอว่า ‘ซายาวากะ’ ที่แปลว่า ‘แจ่มใส’ ตามตัวตนที่เธอแสดงออก ลักษณะเด่นของซีรีส์แนวสืบสวนเล่มนี้ อยู่ที่แต่ละตอนของเรื่อง ซายากะจะมีอายุเพิ่มขึ้นหนึ่งปี นั่นย่อมแสดงว่าเธอมีอันต้องไปข้อเกี่ยวกับคดีต่างๆ ทุกปี ตอนแรกของเรื่องเป็นตอนที่ตัวเอกอายุ 15 ปี ดังนั้นในตอนที่ 4  สุดสัปดาห์สีม่วง ซายากะจึงมีอายุย่างเข้า 18 ปี เธอยังคงแจ่มใสและห้าวหาญ เมื่อเผชิญกับคดีที่เกิดขึ้นท่ามกลางสิ่งเร้าใจวัยรุ่นยุคใหม่ ท้าทายช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เปรียบเปรยว่า ชีวิตช่วงนี้เป็นเหมือนสีม่วง 

2

          จริงหรือไม่ที่ใครๆเขาว่าไว้ว่า ถ้าใครเริ่มพูดถึงเรื่องสมัยก่อนเมื่อไหร่ แสดงว่าคนๆนั้นเริ่มแก่แล้วหากไม่นับในทางกฎหมายที่ระบุว่าบุคคลบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุกี่ขวบปี ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คนเราจะเริ่มเป็นผู้ใหญ่ตอนอายุเท่าไหร่ พูดถึงประเด็นอายุ ฉันก็ยิ่งคิดมากไปอีกว่า เราให้คำนิยามของความเป็นผู้ใหญ่ไว้ว่าอย่างไร
          แม่บอกว่า ถ้าอยากเดินทางไปไหน หรืออยากทำอะไรที่มีความเสี่ยงสูง ให้ฉันรีบทำตอนยังอายุน้อยๆ เพราะตอนนั้น เรายังไม่มีภาระผูกพัน ยังไม่มีสามี ยังไม่มีลูก ยังไม่ต้องวิตกกังวลกับผลกระทบต่อผู้อื่นหากเราเป็นอะไรไป ฉันไม่ได้เชื่อฟังแม่หมดทุกเรื่อง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เป็นไปได้ไหมว่า การเป็นผู้ใหญ่คือการที่เราเป็นพ่อคนแม่คน
          แต่คงไม่ใช่หรอก ฉันยังเห็นเด็กวัยรุ่นสมัยนี้หลายคน โตไวกันเหลือเกิน มีลูกตั้งแต่ยังไม่มีวุฒิภาวะด้วยซ้ำ โธ่! ใช่ว่าการที่ “ผมทำผู้หญิงท้องได้” หรือ “หนูตั้งครรภ์ได้” มีความเจริญเติบโตทางร่างกายพร้อม จะมีความหมายเดียวกับการเป็นพ่อคนหรือแม่คนได้เสียหน่อย
          เขียนมาถึงตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนกันว่าตัวเองออกจะพูดจาแก่แดดไปเสียหน่อย ทั้งๆ ที่อายุก็ไม่ได้เลยวัยทีนมากมาย
          อย่างไรก็ดี ฉันรู้สึกโดยส่วนตัวว่า การเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเด็นทางอายุเสมอไป ปัจจัยที่กำหนดการเป็นผู้ใหญ่สำหรับฉันคือ การมีวุฒิภาวะต่างหาก สาเหตุที่ทำให้ฉันคิดไปอย่างนั้น อาจเป็นเพราะ บุคคลที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ใหญ่หลายคน ทำให้ฉันก็พบกับความจริงที่ว่า ‘วุฒิภาวะ ไม่ได้งอกขึ้นตามหนวดเครา’

3

Maturity is when your world opens up
and you realize that you are not the center of it.

M.J.Croan
          นักเขียนชาวตะวันตกท่านหนึ่ง กล่าวว่า “วุฒิภาวะ คือ การที่เราเปิดใจกว้าง และตระหนักได้ว่าเราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโลก” 

Maturity is not when we start speaking BIG things.
It is when we start understanding small things.

Rishika Jain’s Inspiration

          Rishika Jain กวีชาวอินเดีย กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “วุฒิภาวะ หาใช่ตอนที่คนๆหนึ่งริจะพูดถึงสิ่งยิ่งใหญ่ แต่มันกลับหมายถึงตอนที่คนๆนั้นเริ่มเข้าใจกับสิ่งเล็กๆ ต่างหาก

          ฉันไม่รู้ว่า การเป็นเด็กหรือการเป็นผู้ใหญ่มันมีดีมากกว่ากัน แต่เชื่อแน่ว่า มีหลายคนบนโลกใบนี้ หลงรักวัยเด็กมากพอกันกับที่อยากโตเป็นผู้ใหญ่
             ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

MATURITY : วุฒิภาวะ
ENGLISH BETWEEN THE LINES : ภาษาอังกฤษระหว่างบรรทัด
  • Maturity หมายถึง การเติบโตเต็มที่ การเจริญเติบโตเต็มวัย ความเป็นผู้ใหญ่ 
  • Maturity เป็นคำนาม ที่มาจากคำว่า mature + (-ity)  
  • Mature หากเป็นคำกริยา (verb) จะหมายถึง บ่ม ทำให้สุก ทำให้เจริญ มีพัฒนาการ หากเป็นคำคุณศัพท์ (adjective) จะหมายถึง เจริญเต็มที่ สุกงอม ถึงกำหนด 
  • Premature pregnancy หมายถึง การท้องก่อนวัยอันควร 
  • I’m Not A Girl, Not Yet A Woman. เป็นบทเพลงหนึ่งของ Britney Spears ที่เธอร้องสมัยยังเป็นวัยใส ประโยคนี้ใช้ได้เลยค่ะสำหรับสาวๆที่อยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ จะเป็นเด็กก็ไม่ใช่ เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง    
  • I’m not a boy, not yet a man มีความหมายไม่ต่างจากประโยคข้างบนเท่าไหร่ แค่จะเปลี่ยนเพศเป็นเพศชายเท่านั้น 
  • He’s not my friend, not yet a boyfriend. ผู้ชายคนนี้ป่าวเป็นเพื่อนหนูนะคะ แต่ก็ใช่ว่าจะถึงขั้นเป็นแฟน ระดับกิ๊กคงพอไหว   
  • I’m not a man, not yet a woman. คงเป็นประโยคที่ใช้ได้สำหรับคนหนุ่มที่ใจเป็นสาว และอยากตะโกนร้องบอกคนทั้งโลกว่า หนูกำลังจะข้ามไปหาความสาวแล้วจ้า
          หวังว่า ผู้อ่านทุกท่านที่ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เป็นชายหรือหญิง เป็นเพื่อน กิ๊ก หรือว่าแฟน คงสนุกกับเอาตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษเล็กๆ ไปปรับใช้กันนะคะ 

STORY BY : ตีกุฮ์  บือแน